พบผลลัพธ์ทั้งหมด 384 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการสืบพยานในคดีภาษีอากร ทำให้ไม่อาจขอพิจารณาใหม่ได้
หลังจากจำเลยทั้งสองยื่นคำให้การและศาลภาษีอากรกลางได้นัดชี้สองสถาน และได้ส่งหมายนัดให้ทนายโจทก์ทราบโดยชอบแล้ว ต้องถือว่าโจทก์ทราบวันนัดชี้สองสถานของศาลภาษีอากรกลางแล้ว ในวันนัดชี้สองสถานทนายโจทก์ไม่มาศาลโดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุขัดข้อง คงมาแต่ฝ่ายจำเลย ศาลจึงทำการชี้สองสถานไปโดยให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนแล้วให้จำเลยนำสืบแก้ แต่โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร และโจทก์ไม่มาศาล ศาลภาษีอากรกลางจึงสั่งงดสืบพยานโจทก์ได้ และถือว่าโจทก์ได้ทราบกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถานแล้ว
โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร และโจทก์ไม่มาศาล ศาลจึงสั่งงดสืบพยานโจทก์ และต่อมาพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีมิใช่เป็นกรณีที่ศาลสั่งให้โจทก์ขาดนัดพิจารณา โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอพิจารณาใหม่
โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร และโจทก์ไม่มาศาล ศาลจึงสั่งงดสืบพยานโจทก์ และต่อมาพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีมิใช่เป็นกรณีที่ศาลสั่งให้โจทก์ขาดนัดพิจารณา โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอพิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการหักลดหย่อนบุตรของคู่สมรสที่แยกยื่นภาษี: สามีภริยาต่างมีสิทธิหักลดหย่อนบุตรคนละกึ่งหนึ่ง
ผู้มีเงินได้สามารถนำบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ไปหักลดหย่อนจากเงินได้พึงประเมินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47 เพราะกฎหมายมุ่งหมายที่จะบรรเทาภาระภาษีให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันสำหรับภริยาที่มีเงินได้และแยกยื่นรายการและเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) นั้น มาตรา 57 เบญจ วรรคสอง (2) กำหนดให้สามีภริยาต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนได้สำหรับบุตรที่หักลดหย่อนได้ตามอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา 47(1)(ค)และ(ฉ) คนละกึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าในปีภาษีที่พิพาท โจทก์และ อ. เป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายและต่างก็มีเงินได้ โดย อ. ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้แบบ ภ.ง.ด. 91 ตามมาตรา 40(1) โจทก์และ อ. จึงต่างมีสิทธิหักลดหย่อนบุตรทั้งสามซึ่งเกิดจากภริยาเดิมของโจทก์ได้คนละกึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิหักลดหย่อนบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของคู่สมรสที่แยกยื่นภาษี
ผู้มีเงินได้สามารถนำบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ไปหักลดหย่อนจากเงินได้ พึงประเมินได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 47 เพราะกฎหมายมุ่งหมายที่จะบรรเทาภาระภาษีให้แก่คู่สมรสซึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันสำหรับภริยาที่มีเงินได้และแยกยื่นรายการและเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) นั้น มาตรา 57 เบญจ วรรคสอง (2) กำหนดให้สามีภริยาต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนได้สำหรับบุตรที่หักลดหย่อนได้ตามอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา 47(1)(ค) และ (ฉ) คนละกึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าในปีภาษีที่พิพาท โจทก์และ อ. เป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายและต่างก็มีเงินได้ โดย อ. ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้แบบ ภ.ง.ด. 91 ตามมาตรา 40(1) โจทก์และ อ. จึงต่างมีสิทธิหักลดหย่อนบุตรทั้งสามซึ่งเกิดจากภริยาเดิมของโจทก์ได้คนละกึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานเรียกรับเงินเพื่อช่วยเหลือในการสอบราชการ และความผิดเจ้าพนักงาน
จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายเตรียมข้อมูลของสถานบันบริการคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง และได้รับแต่งตั้งจากอธิบดีกรมตำรวจให้เป็นกรรมการตรวจข้อสอบและรวมคะแนนในการสอบแข่งขันข้าราชการตำรวจและบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรีเพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรและกรรมการได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการจัดทำแผ่นเฉลยและคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจให้คะแนน จำเลยที่ 1 ได้ทำการตรวจกระดาษคำตอบของผู้เข้าสอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ผลการตรวจข้อสอบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ปรากฏว่าไม่ตรงกับที่กองบัญชาการศึกษา กรมตำรวจ ได้แต่งตั้งกรรมการเพื่อตรวจกระดาษคำตอบของผู้สอบผ่านด้วยมือ โดยปรากฏว่ามีบุคคลสอบได้คะแนนน้อยกว่าที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจและสอบไม่ผ่านข้อเขียน พยานโจทก์มีความเห็นว่าความผิดพลาดเรื่องผลการตรวจกระดาษคำตอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์น่าจะเกิดจากการทุจริต เพราะคะแนนที่ผิดพลาดดังกล่าวได้สูงขึ้นทั้งสามคน และคะแนนสูงขึ้นอย่างมีระบบคือคะแนนสูงขึ้นอยู่ในช่วงที่สอบได้ไม่สูงหรือต่ำกว่านั้น และการผิดพลาดไม่น่าจะเกิดจากการผิดพลาดของเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เกิดจากการกระทำของบุคคลเป็นผู้กระทำโดยสั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ให้พิมพ์คะแนนในกระดาษคำตอบและบันทึกเทปตามความต้องการไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1มาก่อน เชื่อว่าได้เบิกความและทำรายงานตามความเป็นจริง ทั้งมีพยานโจทก์อื่นเบิกความยืนยันว่าได้ส่งช่างผู้ชำนาญมาตรวจสอบบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง ก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุปรากฏว่าเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในสภาพปกติจึงฟังได้ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำการตรวจข้อสอบอยู่ในสภาพใช้งานได้ตามปกติ การที่จำเลยที่ 1 คุมเครื่องคอมพิวเตอร์ขณะตรวจข้อสอบอยู่เพียงผู้เดียวมีประสบการณ์และความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ ย่อมมีความสามารถที่จะแก้ไขโปรแกรมในการตรวจข้อสอบให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ จึงฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าความผิดพลาดในการตรวจให้คะแนนในกระดาษคำตอบที่ผิดพลาดเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ได้ทำการตั้งโปรแกรมสั่งเครื่องคอมพิวเตอร์พิมพ์คะแนนลงในกระดาษคำตอบและบันทึกคะแนนลงเทปบันทึกข้อมูลซึ่งเป็นเอกสารราชการของกองบัญชาการศึกษา กรมตำรวจ ตามความต้องการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและมีหน้าที่ทำ และกรอกข้อความลงในเอกสารดังกล่าว ทำการแก้ไขเพิ่มเติมคะแนนลงในเอกสารดังกล่าวโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้นและการแก้ไขคะแนนดังกล่าวเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยเป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่กองบัญชาการศึกษากรมตำรวจ กรรมการตรวจข้อสอบ ผู้เข้าสอบและประชาชน การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 และ 265 การที่จำเลยที่ 1มอบกระดาษคำตอบซึ่งตรวจแล้วและเทปบันทึกข้อมูลให้แก่กรรมการตรวจข้อสอบไปดำเนินการต่อไปในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่กองบัญชาการศึกษากรมตำรวจ ผู้เข้าสอบและประชาชน จึงมีความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 265 และเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กองบัญชาการศึกษา กรมตำรวจ ผู้เข้าสอบและประชาชนและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่เมื่อพยานโจทก์ทั้งสามปากไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 ทั้งไม่มีเหตุสงสัยว่าพยานจะเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 คำพยานดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่เมื่อพยานโจทก์ทั้งสามปากไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 ทั้งไม่มีเหตุสงสัยว่าพยานจะเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 คำพยานดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ถูกต้องตามกฎหมายและการไม่อุทธรณ์/ฎีกาเพื่อขอเพิกถอนกระบวนพิจารณา
คดีนี้มิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา ศาลย่อมพิพากษาโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าคำรับสารภาพของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร และศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามคำรับสารภาพนั้น กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงเป็นไปตามกฎหมายหากคู่ความไม่พอใจย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่ไม่มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยไม่สมัครใจ และเข้าใจผิดว่าเป็นการถามชื่อจำเลย จึงให้การรับสารภาพไปเป็นความเข้าใจผิดของจำเลยเอง จึงไม่อาจยกเป็นข้อต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพโดยไม่สมัครใจและการเพิกถอนกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำรับสารภาพชอบด้วยกฎหมาย
คดีนี้มิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา ศาลย่อมพิพากษาโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าคำรับสารภาพของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร และศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามคำรับสารภาพนั้น กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงเป็นไปตามกฎหมาย หากคู่ความไม่พอใจย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่ไม่มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยไม่สมัครใจ และเข้าใจผิดว่าเป็นการถามชื่อจำเลย จึงให้การรับสารภาพไปเป็นความเข้าใจผิดของจำเลยเอง จึงไม่อาจยกเป็นข้อต่อสู้ได
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกระทำความผิดลักทรัพย์: คำรับสารภาพและพยานหลักฐานสนับสนุน
จำเลยที่ 2 ได้ร่วมเจรจาและคัดเลือกสร้อยคอทองคำอยู่ด้วยกับจำเลยที่ 1 ครั้นจำเลยที่ 1 ลักเอาสร้อยคอทองคำของกลางแล้วพากันออกจากร้านของผู้เสียหายไปพร้อมกัน เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมในข้อหาลักทรัพย์และในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพโดยสมัครใจ คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 มีรายละเอียดสอดคล้องต้องกันกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1พยานโจทก์ย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ลักสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไปจริง แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุมาเบิกความก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์ร่วมกัน: การรับฟังพยานหลักฐานจากคำรับสารภาพ การกระทำร่วม และพฤติการณ์สนับสนุน
จำเลยที่ 2 ได้ร่วมเจรจาและคัดเลือกสร้อยคอทองคำอยู่ด้วยกับจำเลยที่ 1ครั้นจำเลยที่ 1 ลักเอาสร้อยคอทองคำของกลางแล้วพากันออกจากร้านของผู้เสียหายไปพร้อมกัน เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมในข้อหาลักทรัพย์และในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพโดยสมัครใจ คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 มีรายละเอียดสอดคล้องกันกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 พยานโจทก์ย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ลักสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไปจริง แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุมาเบิกความก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์โดยมีเหตุเชื่อได้ว่าจำเลยกระทำผิดจากการจำได้ของพยานผู้เสียหายและพยานแวดล้อม
ผู้เสียหายพบกับจำเลยซึ่งนั่งอยู่ในร้านอาหารขณะกำลังถูกกลุ่มผู้ชายในร้านพูดจาลวนลาม จึงให้เจ้าของร้านไปเชิญจำเลยมานั่งร่วมโต๊ะ หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้เสียหายและจำเลยพากันไปพักที่โรงแรมจำเลยได้เข้าไปพูดคุยกับผู้เสียหายในห้องของผู้เสียหายแล้วจำเลยเอาน้ำให้ผู้เสียหายดื่ม ผู้เสียหายหมดสติไป วันรุ่งขึ้นมีผู้มาพบผู้เสียหายนอนหมดสติอยู่ ปรากฏว่าทรัพย์สินที่ติดตัวผู้เสียหายมาหายไปและเมื่อไปหาจำเลยที่ห้องพักก็ไม่พบ น่าเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้เอาทรัพย์สินดังกล่าวไป
แม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันไปบ้าง แต่ถ้าเป็นเพียงข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สาระสำคัญคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวก็รับฟังได้ และถึงแม้พยานเอกสารต่าง ๆ ฝ่ายโจทก์จะได้ทำขึ้นในภายหลังแต่ก็มีสำเนาบันทึกประจำวันอันเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุอยู่ด้วย เอกสารต่าง ๆ ก็ไม่มีพิรุธอันที่จะทำให้ไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้
แม้ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อนมีโอกาสนั่งพูดคุยอยู่กับจำเลยเป็นเวลานานนับชั่วโมง โดยพูดคุยกันทั้งร้านอาหารและภายในห้องพัก โอกาสที่ผู้เสียหายจะจำจำเลยได้อย่างแม่นยำมีมาก เมื่อผู้เสียหายได้พบจำเลยอีกครั้งหลังเกิดเหตุนานประมาณหนึ่งเดือน ผู้เสียหายก็วิทยุเรียกเจ้าพนักงานตำรวจให้มาจับกุมจำเลยทันที ย่อมแสดงว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้อย่างแม่นยำ
คนมีฐานะดีไม่จำเป็นเสมอไปที่จะไม่กระทำความผิดเลย และเหตุคดีนี้เกิดขึ้นนานประมาณ 1 เดือนแล้ว จำเลยอาจชะล่าใจคิดว่าผู้เสียหายคงจะไม่ติดตามคดีก็ได้ และเวลาที่จำเลยไปที่ร้านเดิมก็เป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับเวลาในวันเกิดเหตุจึงเชื่อว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของโจทก์จริง
แม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันไปบ้าง แต่ถ้าเป็นเพียงข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สาระสำคัญคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวก็รับฟังได้ และถึงแม้พยานเอกสารต่าง ๆ ฝ่ายโจทก์จะได้ทำขึ้นในภายหลังแต่ก็มีสำเนาบันทึกประจำวันอันเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุอยู่ด้วย เอกสารต่าง ๆ ก็ไม่มีพิรุธอันที่จะทำให้ไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้
แม้ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อนมีโอกาสนั่งพูดคุยอยู่กับจำเลยเป็นเวลานานนับชั่วโมง โดยพูดคุยกันทั้งร้านอาหารและภายในห้องพัก โอกาสที่ผู้เสียหายจะจำจำเลยได้อย่างแม่นยำมีมาก เมื่อผู้เสียหายได้พบจำเลยอีกครั้งหลังเกิดเหตุนานประมาณหนึ่งเดือน ผู้เสียหายก็วิทยุเรียกเจ้าพนักงานตำรวจให้มาจับกุมจำเลยทันที ย่อมแสดงว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้อย่างแม่นยำ
คนมีฐานะดีไม่จำเป็นเสมอไปที่จะไม่กระทำความผิดเลย และเหตุคดีนี้เกิดขึ้นนานประมาณ 1 เดือนแล้ว จำเลยอาจชะล่าใจคิดว่าผู้เสียหายคงจะไม่ติดตามคดีก็ได้ และเวลาที่จำเลยไปที่ร้านเดิมก็เป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับเวลาในวันเกิดเหตุจึงเชื่อว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของโจทก์จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายเผื่อชอบ: การส่งมอบรถยนต์ทดลองขับถือเป็นการตรวจดูแล้ว สัญญาบริบูรณ์ แม้ราคายังไม่ชำระ
โจทก์ร่วมและจำเลยต่างมีความประสงค์จะซื้อจะขายรถยนต์โดยมีการกำหนดราคาและเงื่อนไข จำเลยจะนำรถยนต์ของโจทก์ร่วมไปทดลองใช้ก่อน7 วัน หากพอใจจำเลยจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ร่วม ข้อตกลงระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยส่อแสดงเจตนาว่าทั้งสองฝ่ายจะซื้อจะขายรถยนต์กันตั้งแต่เริ่มแรก การที่จำเลยได้รับมอบรถยนต์จากโจทก์ร่วมจึงเข้าลักษณะสัญญาซื้อขายเผื่อชอบตาม ป.พ.พ.มาตรา 505 หลังจากจำเลยรับมอบรถยนต์แล้วรถยนต์หายไปโดยไม่ปรากฏพฤติการณ์ส่อแสดงเจตนาทุจริตของจำเลยว่ากุเรื่องรถยนต์หายเพื่อลวงโจทก์ร่วม เมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยเป็นเรื่องการซื้อขายเผื่อชอบและโจทก์ร่วมได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่จำเลยทดลองขับ ถือว่าเป็นการตรวจดูแล้ว การซื้อขายย่อมเป็นอันบริบูรณ์กล่าวคือ จำเลยมิได้บอกกล่าวว่าไม่ยอมรับซื้อและจำเลยมิได้ส่งมอบรถยนต์คืนภายในกำหนดเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 508 (1) (2) แม้ขณะที่รถยนต์ของโจทก์ร่วมหายไปจำเลยจะมิได้ชำระราคารถยนต์แก่โจทก์ร่วม ก็เป็นเรื่องจะต้องไปว่ากล่าวในทางแพ่งต่างหาก การกระทำไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 352