พบผลลัพธ์ทั้งหมด 482 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2761/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องบังคับจำนองของตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อ แม้การแต่งตั้งตัวแทนไม่เป็นหนังสือ
โจทก์ที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำนิติกรรมแทนโจทก์ที่ 2 การที่โจทก์ที่ 1 รับจำนองที่ดินจากจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ที่ 2 เป็นการกระทำแทนโจทก์ที่ 2 แม้ตามหนังสือสัญญาจำนองระบุชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับจำนองเท่านั้น โดยไม่ได้ระบุว่ากระทำการแทนโจทก์ที่ 2 ก็เป็นกรณีที่โจทก์ที่ 2 ตัวการซึ่งยังไม่เปิดเผยชื่อแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาจำนองซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้ทำไว้แทนตน ซึ่งโจทก์ที่ 2 มีสิทธิกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 และเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 798 วรรคหนึ่ง ที่การตั้งตัวแทนเพื่อทำสัญญาจำนองเป็นหนังสือ ดังนั้นแม้การตั้งตัวแทนของโจทก์ที่ 2 เพื่อทำสัญญาจำนองกับจำเลยจะมิได้ทำเป็นหนังสือ แต่เมื่อสิทธิของโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาจำนองเป็นสิทธิที่มีอยู่ในฐานะตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำนองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2761/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับจำนองโดยตัวแทนที่ไม่เปิดเผยชื่อ: สิทธิของตัวการตาม ป.พ.พ. มาตรา 806
การที่โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์ที่ 2 ได้รับจำนองที่ดินจากจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ที่ 2 เป็นการกระทำแทนโจทก์ที่ 2 แม้ตามหนังสือสัญญาจำนองระบุชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับจำนองเท่านั้น โดยไม่ได้ระบุว่ากระทำการแทนโจทก์ที่ 2 ก็เป็นกรณีที่โจทก์ที่ 2 ตัวการซึ่งยังไม่เปิดเผยชื่อแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาจำนองซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้ทำไว้แทนตน ซึ่งโจทก์ที่ 2 มีสิทธิกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 และเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 798 วรรคหนึ่ง ที่การตั้งตัวแทนเพื่อทำสัญญาจำนองต้องทำเป็นหนังสือ ดังนั้นแม้การตั้งตัวแทนของโจทก์ที่ 2 เพื่อทำสัญญาจำนองกับจำเลยจะมิได้ทำเป็นหนังสือดังที่จำเลยฎีกา แต่เมื่อสิทธิของโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาจำนองเป็นสิทธิที่มีอยู่ในฐานะตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 ดังกล่าวแล้ว โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2698/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาต้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น การโต้แย้งข้อเท็จจริงถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ จะต้องเป็นการอุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าผู้ร้องได้มอบอำนาจให้ ศ. เข้าร่วมประมูลและทำหนังสือสัญญาซื้อขายสิทธิเรียกร้องของโจทก์กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพียงแต่ผู้ร้องมิได้นำหนังสือมอบอำนาจมาแสดงต่อศาลนั้น เป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อไปว่า แม้ ศ. ไม่มีอำนาจกระทำการดังกล่าวแต่ผู้ร้องก็ได้รับทราบการกระทำทั้งหมดของ ศ. และมิได้คัดค้านเท่ากับเป็นการให้สัตยาบันในผลแห่งการที่ตัวแทนได้กระทำลงไปนั้นก็เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อนไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย เพราะต้องรับฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า ศ. เป็นตัวแทนของผู้ร้องหรือไม่ผลเท่ากับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั่นเอง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2675/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวเนื่องและการแยกฟ้องคดี: ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มีอำนาจพิจารณาเฉพาะความผิดลิขสิทธิ์และศุลกากร/ยาสูบแยกจากกัน
เมื่อลักษณะของการกระทำความผิดตามบรรยายฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับยาสูบและแผ่นดิจิตอลวีดีโอดีสไม่มีลักษณะของการกระทำความผิดซึ่งเป็นเงื่อนไขซึ่งกันและกันแต่อย่างใด โดยแยกกันได้เด็ดขาดทั้งการกระทำและบทบัญญัติของกฎหมายที่เป็นความผิด ลำพังแต่เพียงผู้กระทำความผิดทุกข้อหาเป็นบุคคลเดียวกัน กระทำในขณะเดียวกันและในสถานที่เกิดเหตุเดียวกันเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นความผิดเกี่ยวเนื่องกันตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 36 การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดในส่วนที่เกี่ยวกับยาสูบตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 และ พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ. 2509 นั้น จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2675/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญา: การแยกฟ้องคดีความผิดต่างประเภท แม้ผู้กระทำผิดและสถานที่เกิดเหตุเดียวกัน
คำฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับยาสูบระบุว่าเป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.ศุลกากร ฯ และ พ.ร.บ.ยาสูบ ฯ แต่ความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งวัตถุแห่งการกระทำความผิดเป็นคนละชนิดกับแผ่นดิจิตอลวีดีโอดิสในความผิดต่อ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฯ และไม่มีลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นเงื่อนไขซึ่งกันและกันแยกกันได้เด็ดขาด ลำพังแต่ผู้กระทำความผิดทุกข้อหาเป็นบุคคลเดียวกัน กระทำในขณะเดียวกันและในสถานที่เดียวกันเท่านั้นยังไม่ถือว่าเป็นความผิดเกี่ยวเนื่องกันตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 36 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางชอบที่จะมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดในส่วนที่เกี่ยวกับยาสูบตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ฯ และ พ.ร.บ.ยาสูบ ฯ ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2566/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: ศาลไม่อาจสั่งประมูลขายทรัพย์นอกเหนือจากคำพิพากษา แม้มีปัญหาในการแบ่งกรรมสิทธิ์
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากที่ดินและห้องพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าที่ดินและห้องพิพาทเดิมมีโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับ ก. มารดาของโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าใครมีส่วนเท่าใด จึงถือว่ามีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง ก. ไม่มีสิทธิจะขายที่ดินทั้งแปลงให้ฝ่ายจำเลยเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ แต่ที่ดินและห้องพิพาทในส่วนที่เป็นของโจทก์ ฝ่ายจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของโจทก์อันเป็นการครอบครองแทนโจทก์ แม้ต่อมาจะมีปัญหาในชั้นบังคับคดีว่า ไม่ปรากฏว่าที่ดินและห้องพิพาทซึ่งมีอยู่ 2 ห้อง ส่วนใดเป็นของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 และบริวารต้องออกไป ศาลชั้นต้นก็ไม่อาจมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายได้เพราะเป็นการบังคับคดีที่นอกเหนือจากคำพิพากษา ซึ่งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 271 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายระหว่างคู่ความหรือนำออกขายทอดตลาดจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2566/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีขับไล่ที่ดินกรรมสิทธิ์รวม ศาลไม่อาจสั่งประมูลขายทรัพย์นอกเหนือจากคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและห้องพิพาท ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินและห้องพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์กับจำเลย พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและห้องพิพาทส่วนของโจทก์ แม้ต่อมาจะมีปัญหาในชั้นบังคับคดีว่า ไม่ปรากฏว่าที่ดินและห้องพิพาทซึ่งมีอยู่ 2 ห้อง ส่วนใดเป็นของโจทก์ที่จำเลยและบริวารต้องออกไป ศาลชั้นต้นก็ไม่อาจมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่พิพาทออกประมูลขายได้ เพราะเป็นการบังคับคดีที่นอกเหนือจากคำพิพากษา ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 271
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนที่ดินตามสัญญาซื้อขาย และการฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ โดยสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท ข้อ 2 ระบุว่า "ผู้ซื้อสัญญาว่า ถ้าเลิกกิจการเลื่อยไม้ หรือโอนกิจการให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือผู้ซื้อไม่ทำประโยชน์กับที่ดินผืนนี้แล้ว ผู้ซื้อยินยอมขายคืนให้แก่ผู้ขายในราคาตามข้อ 1 นอกจากผู้ขายตกลงไม่ซื้อเป็นลายลักษณ์อักษร" จึงเป็นคำมั่นของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 เลิกกิจการโรงเลื่อยหรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น หรือไม่ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท คำมั่นดังกล่าวเป็นคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินซึ่งกฎหมายบังคับว่า ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้หรือได้ชำระหนี้บางส่วน จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง กฎหมายหาได้บังคับว่าคำมั่นเช่นว่านี้ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่อย่างใดไม่ เมื่อคำมั่นดังกล่าวทำเป็นหนังสือและจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 กับประทับตราจำเลยที่ 1 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองขายที่ดินพิพาทคืนและรับชำระราคาจากโจทก์โดยอ้างสิทธิตามคำมั่นในสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นการฟ้องปฏิบัติตามสัญญา จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งอ้างว่าจำเลยทั้งสองเสียค่าใช้จ่ายทำถนนในที่ดินพิพาทและโจทก์ปิดกั้นที่ดินพิพาททำให้จำเลยทั้งสองเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายเป็นการฟ้องในมูลละเมิด ข้ออ้างและคำขอบังคับตามฟ้องแย้งจึงไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฟ้องแย้ง แม้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองไว้ ก็เป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้กล่าวกันมาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองขายที่ดินพิพาทคืนและรับชำระราคาจากโจทก์โดยอ้างสิทธิตามคำมั่นในสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นการฟ้องปฏิบัติตามสัญญา จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งอ้างว่าจำเลยทั้งสองเสียค่าใช้จ่ายทำถนนในที่ดินพิพาทและโจทก์ปิดกั้นที่ดินพิพาททำให้จำเลยทั้งสองเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายเป็นการฟ้องในมูลละเมิด ข้ออ้างและคำขอบังคับตามฟ้องแย้งจึงไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฟ้องแย้ง แม้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองไว้ ก็เป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้กล่าวกันมาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2519/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือค้ำประกันสัญญาก่อสร้าง: การริบเงินเป็นเบี้ยปรับค่าเสียหายจากการผิดสัญญา
สัญญาจ้าง ข้อ 3 ระบุว่า ในขณะทำสัญญานี้ ผู้รับจ้างได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคาร น. จำนวนเงิน 167,324 บาท มามอบให้แก่ผู้ว่าจ้างเพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา หลักประกันนี้ผู้ว่าจ้างจะคืนให้เมื่อผู้รับจ้างพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญานี้แล้ว และข้อ 16 ระบุว่า ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาผู้ว่าจ้างมีสิทธิริบหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาทั้งหมดหรือบางส่วนตามแต่จะเห็นสมควร ส่วนหนังสือค้ำประกันระบุว่า ธนาคารยอมผูกพันชำระเงินให้ตามสิทธิเรียกร้องของผู้ว่าจ้างจำนวนไม่เกิน 167,324 บาท ในกรณีที่ผู้รับจ้างก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ หรือต้องชำระค่าปรับ หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ เงินตามหนังสือค้ำประกันดังกล่าวจึงมิใช่เงินที่จำเลยมอบให้โจทก์ทันทีขณะทำสัญญา แต่เป็นเพียงหลักประกันเบื้องต้นเพื่อที่จะให้โจทก์เชื่อได้ว่าจำเลยจะปฏิบัติตามสัญญา และหากจำเลยผิดสัญญาโจทก์จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายอย่างน้อยก็คือเงินที่เป็นหลักประกันเงินตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารจึงเป็นเงินประกันค่าเสียหายที่เกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญา ทั้งตามหนังสือค้ำประกันก็จำกัดวงเงินสูงสุดไว้ มิใช่ว่าธนาคารจะต้องผูกพันชำระเงินเต็มจำนวนตามหนังสือค้ำประกันเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับความเสียหายหรือจำนวนค่าปรับรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ว่ามีเพียงใด จำนวนเงินที่ริบจึงไม่แน่นอนตายตัว การริบเงินดังกล่าวจึงมิใช่การริบในลักษณะที่เป็นมัดจำแต่เป็นการริบในลักษณะที่เป็นเบี้ยปรับ โดยเฉพาะสัญญาข้อ 17 ก็ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะบังคับค่าปรับหรือค่าเสียหายเอาจากหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา ดังนั้น แม้เงินตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารจะเป็นการประกันรวมไปถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังโจทก์บอกเลิกสัญญาหรือสัญญาสิ้นสุดลงด้วยดังที่โจทก์ฎีกาก็ตามก็ต้องถือว่าเป็นการประกันในลักษณะที่เป็นเบี้ยปรับอันเป็นค่าเสียหายที่เกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาเช่นเดียวกับค่าปรับรายวัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2511/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งงดสืบพยานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และสิทธิในการฎีกา
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งงดสืบพยานจำเลย โดยมีคำขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้น แล้วให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยและมีคำพิพากษาใหม่จำเลยจะต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 กล่าวคือ จำเลยต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย เพราะหากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้น แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีใหม่ตามคำขอของจำเลย ก็จะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของสิทธิครอบครองและกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยถูกยกเลิกเพิกถอน ผลเท่ากับเป็นการอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอยู่ในตัวนั่นเอง จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการยื่นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการรับวินิจฉัยโดยไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246 และ 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของโจทก์เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง