พบผลลัพธ์ทั้งหมด 382 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3215/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งทางทะเล การสูญหายของสินค้า และขอบเขตการจำกัดความรับผิดตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่ง จำเลยที่ 4 เกี่ยวข้องกับการขนส่งโดยทำหนังสือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับรูปแบบการขนส่งที่ท่าเรือปลายทาง กับรับค่าระวางและเจรจาเรื่องค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 1 หรือผู้ขนส่งอื่น คงเป็นเพียงตัวแทนของผู้ขนส่งเกี่ยวกับการดำเนินการที่ท่าเรือปลายทางแทนผู้ขนส่งเท่านั้น
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นต่อสู้ว่า ผู้ส่งบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าไม่ครบหรือสินค้าสูญหายไปในระหว่างการบรรจุสินค้าที่ท่าเรือต้นทาง เป็นการกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 52 (9) จำเลยที่ 2 จึงมีภาระการพิสูจน์ในข้อนี้
พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งไว้เพียง 10,000 บาท ต่อหนึ่งหน่วยการขนส่ง การระบุไว้ในใบตราส่งว่า มีสินค้าเครื่องรับโทรทัศน์จำนวน 510 ชุด หน่วยการขนส่งในการขนส่งครั้งนี้จึงหมายถึง 1 ชุด ของสินค้าเครื่องรับโทรทัศน์ เมื่อสินค้าสูญหายไป 50 ชุด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องได้ คือ ไม่เกิน 500,000 บาท
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นต่อสู้ว่า ผู้ส่งบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าไม่ครบหรือสินค้าสูญหายไปในระหว่างการบรรจุสินค้าที่ท่าเรือต้นทาง เป็นการกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 52 (9) จำเลยที่ 2 จึงมีภาระการพิสูจน์ในข้อนี้
พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งไว้เพียง 10,000 บาท ต่อหนึ่งหน่วยการขนส่ง การระบุไว้ในใบตราส่งว่า มีสินค้าเครื่องรับโทรทัศน์จำนวน 510 ชุด หน่วยการขนส่งในการขนส่งครั้งนี้จึงหมายถึง 1 ชุด ของสินค้าเครื่องรับโทรทัศน์ เมื่อสินค้าสูญหายไป 50 ชุด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องได้ คือ ไม่เกิน 500,000 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3215/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับขนของทางทะเล: ความรับผิดของผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่นต่อความเสียหายของสินค้า
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ตกลงกับจำเลยที่ 1 ที่จะทำการขนส่งและรับทำการขนส่งสินค้าแทนจำเลยที่ 1 ตลอดเส้นทางจากท่าเรือสิงคโปร์มายังท่าเรือกรุงเทพ จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ขนส่งอื่น ซึ่งต้องร่วมรับผิดในความสูญหายของสินค้ากับจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่ง
จำเลยที่ 4 เข้ามาเกี่ยวข้องกับการขนส่งด้วยการทำหน้าที่แทนจำเลยที่ 1 ในการทำหนังสือกับจำเลยที่ 3 เพื่อเปลี่ยนเงื่อนไขในการขนส่งที่ท่าเรือปลายทางกับรับค่าระวางและเจรจาเรื่องค่าเสียหายแทน ลำพังการดำเนินการดังกล่าวของจำเลยที่ 4 คงเข้าลักษณะเพียงเป็นตัวแทนของผู้ขนส่งเกี่ยวกับการดำเนินการที่ท่าเรือปลายทางแทนผู้ขนส่งเท่านั้น ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 1 หรือผู้ขนส่งอื่น
ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ว่าผู้ส่งบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าไม่ครบหรือสินค้าสูญหายไปในระหว่างบรรจุสินค้าที่ท่าเรือต้นทาง เป็นเรื่องที่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 52 (9) จำเลยที่ 2 จึงมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าว
ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 ผู้ขนส่งจำกัดความรับผิดได้ 10,000 บาท ต่อหนึ่งหน่วยการขนส่ง เมื่อสินค้าสูญหายไป 50 ชุด จึงเท่ากับว่าค่าเสียหายที่โจทก์จะเรียกร้องได้ คือ ไม่เกิน 500,000 บาท
จำเลยที่ 4 เข้ามาเกี่ยวข้องกับการขนส่งด้วยการทำหน้าที่แทนจำเลยที่ 1 ในการทำหนังสือกับจำเลยที่ 3 เพื่อเปลี่ยนเงื่อนไขในการขนส่งที่ท่าเรือปลายทางกับรับค่าระวางและเจรจาเรื่องค่าเสียหายแทน ลำพังการดำเนินการดังกล่าวของจำเลยที่ 4 คงเข้าลักษณะเพียงเป็นตัวแทนของผู้ขนส่งเกี่ยวกับการดำเนินการที่ท่าเรือปลายทางแทนผู้ขนส่งเท่านั้น ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ 1 หรือผู้ขนส่งอื่น
ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ที่ว่าผู้ส่งบรรจุสินค้าเข้าตู้สินค้าไม่ครบหรือสินค้าสูญหายไปในระหว่างบรรจุสินค้าที่ท่าเรือต้นทาง เป็นเรื่องที่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 52 (9) จำเลยที่ 2 จึงมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าว
ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 ผู้ขนส่งจำกัดความรับผิดได้ 10,000 บาท ต่อหนึ่งหน่วยการขนส่ง เมื่อสินค้าสูญหายไป 50 ชุด จึงเท่ากับว่าค่าเสียหายที่โจทก์จะเรียกร้องได้ คือ ไม่เกิน 500,000 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3208/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนส่งแบบ CY/CY และความรับผิดของผู้ขนส่งเมื่อไม่มีหลักฐานการสูญหายระหว่างขนส่ง
วิธีการขนส่งแบบ CY Loading คือผู้ส่งสินค้าจะเป็นผู้บรรจุสินค้าของตนเข้าไปในตู้สินค้า และปิดผนึกตู้สินค้านั้นด้วยผนึกที่ผู้ขนส่งให้มา ดังนั้น ในการขนถ่ายสินค้าทั้งสองครั้ง โจทก์ผู้ส่งมีหน้าที่ในการขนถ่ายสินค้าเข้าตู้สินค้าและผนึกที่ตู้สินค้า เมื่อผนึกที่ตู้สินค้าเมื่อถึงปลายทางที่สถานที่ของผู้รับตราส่งยังเป็นผนึกเดิม แสดงว่าระหว่างการขนส่งสินค้าในตู้สินค้าไม่ได้ถูกขนถ่ายออกจากตู้สินค้าเลย จึงฟังไม่ได้ว่าสินค้าสูญหายไปในระหว่างการขนส่ง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด ทั้งนี้ ไม่ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะเป็นผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นหรือไม่ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2902/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีล้มละลาย แม้มีการยกเลิกการล้มละลายแล้ว เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิฟ้องได้ หากลูกหนี้ยังคงค้างหนี้
การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลย ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 135 (2) มีผลตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 136 แต่ก็หาทำให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้สินแต่อย่างใดไม่ ทั้งไม่ต้องคำนึงว่าหนี้ดังกล่าวนั้นเจ้าหนี้จะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้หรือไม่ มีผลให้โจทก์ซึ่งไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ยังคงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ตามสิทธิที่มีอยู่ต่อไปเหมือนดังก่อนที่มีการฟ้องคดีล้มละลาย โจทก์จึงมีสิทธินำมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่จำเลยค้างชำระมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2902/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีล้มละลายหลังยกเลิกคดีล้มละลายเดิม แม้ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องได้
การยกเลิกการล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละบาย พ.ศ.2483 มาตรา 135 (2) มีผลตามมาตรา 136 แต่ไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้สิน โดยไม่ต้องคำนึงว่าหนี้ดังกล่าวนั้นเจ้าหนี้จะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้หรือไม่ มีผลให้โจทก์ซึ่งไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้นยังคงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ต่อไปเหมือนดังก่อนที่มีการฟ้องคดีล้มละลาย โจทก์จึงมีสิทธิที่จะนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2861/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้รับผลประโยชน์กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: กำหนดผู้รับผลประโยชน์ได้อิสระ ไม่จำกัดเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย
ว.ลูกจ้าง ซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนจำเลยได้กำหนดตัวบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินกองทุนจำเลยไว้ตามหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ และผู้จะพึงได้รับผลประโยชน์ยังมีชีวิตอยู่ การจ่ายเงินกองทุนจำเลยจึงต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของสมาชิก โดยไม่มีข้อจำกัดว่าผู้ที่ลูกจ้างกำหนดเป็นผู้จะพึงได้รับเงินจากกองทุนจะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นแม้ ร. กับ จ. จะมิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของ ว. ก็ย่อมเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนตามที่ ว. กำหนดไว้ในหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์โดยหาได้ต้องห้ามหรือจะต้องให้แบ่งจ่ายเงินกองทุนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ มาตรา 23 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2778/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้มละลายของหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด และขอบเขตความรับผิดของอดีตหุ้นส่วนผู้จัดการ
ในวันที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการอันเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 อยู่ ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 อย่างไม่จำกัดจำนวนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1070 ประกอบมาตรา 1077 (2) และการที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัดแล้วเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจมีคำขอให้หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 89 จำเลยที่ 2 จะต่อสู้ว่าตนเองมิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหาได้ไม่
ในวันที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้จำเลยที่ 3 ล้มละลายตามห้าง ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 89 ได้
มูลหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 3 จะออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวภายในกำหนด 2 ปี นับแต่ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตาม ป.พ.พ. มาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 จำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2545 ความรับผิดของจำเลยที่ 3 ย่อมมีจำกัดเพียงสองปีนับแต่วันดังกล่าวถึงวันที่ 28 มกราคม 2547 การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2548 จึงเกินกำหนดเวลา 2 ปี แล้วจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 โจทก์จึงไม่อาจนำมาฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีล้มละลายได้
ในวันที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้จำเลยที่ 3 ล้มละลายตามห้าง ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 89 ได้
มูลหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 3 จะออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวภายในกำหนด 2 ปี นับแต่ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตาม ป.พ.พ. มาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 จำเลยที่ 3 ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2545 ความรับผิดของจำเลยที่ 3 ย่อมมีจำกัดเพียงสองปีนับแต่วันดังกล่าวถึงวันที่ 28 มกราคม 2547 การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2548 จึงเกินกำหนดเวลา 2 ปี แล้วจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 โจทก์จึงไม่อาจนำมาฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีล้มละลายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องการยักยอกเงิน จำเป็นต้องไต่สวนเพิ่มเติม
หลังจากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้ว ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลแรงงานกลางส่งสำเนาคำร้องที่ ร. ผู้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์และไต่สวนคำร้องว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำร้องหรือไม่ ศาลแรงงานกลางดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกาแล้ว แต่มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ด้วยซึ่งเป็นการไม่ชอบ เพราะเมื่อมีการสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้ว การสั่งเรื่องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะอยู่ในอำนาจของศาลฎีกา จึงให้ยกคำสั่งศาลแรงงานกลางที่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์เสีย แต่เนื่องจากมีการไต่สวนพยานหลักฐานแล้ว ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์และโจทก์ถึงแก่กรรมแล้วจึงอนุญาตให้ ร. ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะได้
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเพียงว่า ว. ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของจำเลยได้สอบสวนอย่างไร และวินิจฉัยว่าการที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ยักยอกเงินของเพื่อนพนักงานซึ่งจำเลยถือว่าโจทก์ทำผิดระเบียบของโรงแรมจำเลยนั้น การยักยอกเงินของเพื่อนพนักงานไม่ได้ระบุไว้ในระเบียบข้อบังคับว่าเป็นความผิดร้ายแรงด้วย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทันทีโดยโจทก์มิได้กระทำผิดร้ายแรง จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วย กฎหมาย อันมีความหมายว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่า โจทก์ยักยอกเงินที่แขกทิปให้พนักงานก็ยังไม่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง เท่ากับศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ชัดว่าโจทก์ได้กระทำการยักยอกเงินที่แขกทิปให้พนักงานหรือไม่ จึงยังไม่อาจนำข้อเท็จจริงในปัญหาเรื่องนี้ไปวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ตามที่จำเลยให้การต่อสู้เสียก่อน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเพียงว่า ว. ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของจำเลยได้สอบสวนอย่างไร และวินิจฉัยว่าการที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ยักยอกเงินของเพื่อนพนักงานซึ่งจำเลยถือว่าโจทก์ทำผิดระเบียบของโรงแรมจำเลยนั้น การยักยอกเงินของเพื่อนพนักงานไม่ได้ระบุไว้ในระเบียบข้อบังคับว่าเป็นความผิดร้ายแรงด้วย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทันทีโดยโจทก์มิได้กระทำผิดร้ายแรง จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วย กฎหมาย อันมีความหมายว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่า โจทก์ยักยอกเงินที่แขกทิปให้พนักงานก็ยังไม่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง เท่ากับศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ชัดว่าโจทก์ได้กระทำการยักยอกเงินที่แขกทิปให้พนักงานหรือไม่ จึงยังไม่อาจนำข้อเท็จจริงในปัญหาเรื่องนี้ไปวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ตามที่จำเลยให้การต่อสู้เสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2219/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์มรดกและการเพิกถอนนิติกรรม: ทรัพย์ที่ซื้อด้วยเงินจากมรดกไม่ใช่ทรัพย์มรดกเดิม
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านระหว่างจำเลยกับ ท. บิดาโจทก์ทั้งเจ็ด เป็นการฟ้องเรียกให้ได้ที่ดินและบ้านกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งเจ็ด จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาที่ดินและบ้านนั้นและเมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องโดยอ้างว่า โจทก์แต่ละคนมีสิทธิในที่ดินและบ้านคนละ 1 ใน 8 ส่วนเท่ากัน จึงเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ ต้องถือทุนทรัพย์แยกกันตามรายตัวโจทก์ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดมีคำขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านคืนหากไม่สามารถทำได้ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาท จำนวนหนี้ตามสิทธิของโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ทั้งเจ็ดฟังได้ว่า ท. ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านแทนโจทก์ทั้งเจ็ด การขายที่ดินและบ้านแก่จำเลยเป็นเจตนาลวงและเป็นการฉ้อฉลโจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและบ้านได้ และจำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งเจ็ด ล้วนเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ท. ขายที่ดินมรดกบางส่วนไปในขณะที่ยังไม่มีการแบ่งปันมรดกแล้วนำเงินที่ได้ไปซื้อที่ดินแปลงอื่น ที่ดินที่ซื้อมานั้นไม่ถือว่าเป็นทรัพย์ที่มีสถานะเช่นเดียวกับทรัพย์มรดกที่จะนำมาแบ่งปันแก่ทายาท ดังนั้น การที่ ท. โอนที่ดินที่ซื้อมาดังกล่าวให้แก่จำเลย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่อาจฟ้องร้องขอให้เพิกถอนได้ คงมีสิทธิฟ้องร้องขอให้เพิกถอนได้เฉพาะการโอนขายที่ดินที่เป็นมรดกแปลงแรกเท่านั้น
ท. ขายที่ดินมรดกบางส่วนไปในขณะที่ยังไม่มีการแบ่งปันมรดกแล้วนำเงินที่ได้ไปซื้อที่ดินแปลงอื่น ที่ดินที่ซื้อมานั้นไม่ถือว่าเป็นทรัพย์ที่มีสถานะเช่นเดียวกับทรัพย์มรดกที่จะนำมาแบ่งปันแก่ทายาท ดังนั้น การที่ ท. โอนที่ดินที่ซื้อมาดังกล่าวให้แก่จำเลย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่อาจฟ้องร้องขอให้เพิกถอนได้ คงมีสิทธิฟ้องร้องขอให้เพิกถอนได้เฉพาะการโอนขายที่ดินที่เป็นมรดกแปลงแรกเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2177/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการ: สิทธิของเจ้าหนี้ผู้ค้ำประกันเมื่อเจ้าหนี้รายอื่นได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน
เจ้าหนี้รายที่ 24 ตกลงทำสัญญาค้ำประกันหนี้ที่ลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้รายที่ 12 และ 13 และเจ้าหนี้รายที่ 24 ชำระหนี้บางส่วนให้แก่เจ้าหนี้รายที่ 12 และ 13 แทนลูกหนี้ ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของเจ้าหนี้รายที่ 24 เด็ดขาด และมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในคดีนี้นั้น เมื่อเจ้าหนี้รายที่ 12 และ 13 ได้ใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในมูลหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระไว้เต็มจำนวนแล้ว เจ้าหนี้รายที่ 24 จึงไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนเงินที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในเวลาภายหน้าได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/27 วรรคสอง ประกอบมาตรา 101 ซึ่งหากต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของเจ้าหนี้รายที่ 24 นำเงินจากกองทรัพย์สินของเจ้าหนี้ดังกล่าวชำระหนี้ส่วนที่เหลือให้แก่เจ้าหนี้รายที่ 12 และ 13 แล้วก็ย่อมมีผลให้เจ้าหนี้รายที่ 24 เข้ารับช่วงสิทธิตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 12 และ 13 ในคดีนี้ต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 229