พบผลลัพธ์ทั้งหมด 396 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีอาญาหลายจำเลย ศาลฎีกาแก้โทษจำเลยฎีกาและขยายผลถึงจำเลยไม่ฎีกา คดีถึงที่สุดเมื่ออ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
ในการพิจารณาคดีของศาลฎีกา หากจำเลยผู้หนึ่งฎีกาคัดค้านคำพิพากษาซึ่งให้ลงโทษจำเลยหลายคนในความผิดฐานเดียวกัน หากคดีนั้นศาลฎีกาใช้อำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 พิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษหรือลดโทษให้จำเลยที่ฎีกาและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาจึงยังไม่ถือว่าเป็นที่สุดเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ให้จำเลยที่ 1 ฟังเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2546 แม้จำเลยที่ 1 ไม่ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 แล้ว คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นที่สุดเมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาฎีกาให้จำเลยที่ 1 ฟัง
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ให้จำเลยที่ 1 ฟังเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2546 แม้จำเลยที่ 1 ไม่ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 แล้ว คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นที่สุดเมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาฎีกาให้จำเลยที่ 1 ฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาฎีกาที่พิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกา: วันที่คดีถึงที่สุด
ในการพิจารณาคดีของศาลฎีกา หากจำเลยผู้หนึ่งฎีกาคัดค้านคำพิพากษา ซึ่งให้ลงโทษจำเลยหลายคนในความผิดฐานเดียวกัน หากคดีนั้นศาลฎีกาใช้อำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 พิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษหรือลดโทษให้จำเลยที่ฎีกาและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาจึงยังไม่ถือว่าเป็นที่สุดเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ให้จำเลยที่ 1 ฟังเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2546 แม้จำเลยที่ 1 ไม่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 แล้ว คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นที่สุดเมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาฎีกาให้จำเลยที่ 1 ฟัง การที่ศาลชั้นต้นระบุในหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของจำเลยที่ 1 ว่าคดีถึงที่สุดวันที่ 22 ธันวาคม 2547 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 1 ฟัง จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ ถือเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษา ต้องวางค่าธรรมเนียมตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลย ค่าคำร้องเป็นพับ การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นโดยขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ซึ่งจะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นอันเพิกถอนไป ผลเท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ในตัวนั่นเอง ดังนั้น จำเลยต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์โดยศาลชั้นต้นไม่จำต้องมีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติเสียก่อน เมื่อจำเลยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์เช่นนี้ ในชั้นตรวจอุทธรณ์ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยได้ทันที แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ได้กำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติให้ถูกต้องเสียก่อนจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343-1344/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นการครอบครองและอำนาจฟ้องนอกประเด็น
เมื่อจำเลยทั้งสองให้การชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองมาแต่ต้นมิได้แย่งการครอบครองไปจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องการโต้แย้งการครอบครองเพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้แต่เฉพาะที่ดินเป็นของผู้อื่น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาจึงไม่เป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกประเด็นมาวินิจฉัยว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นการไม่ชอบ เพราะการวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องเกิดจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับพยานหลักฐานนอกกรอบ ป.วิ.พ. มาตรา 88 เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และการพิสูจน์ประเด็นการครอบครองที่ดิน
แม้การยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 1 จะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แต่เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องและคำให้การของจำเลยที่ 1 แล้วคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของหรือในฐานะผู้เช่า ดังนี้ บัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 1 ที่อ้างพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์และจำเลยที่ 1 นำพยานบุคคลดังกล่าวเข้าเบิกความคือตัวจำเลยที่ 1 กับ ผ. ผู้รู้เห็นเหตุการณ์เช่าที่ดินพิพาทและเป็นผู้เก็บรักษาส่วนแบ่งข้าวที่ทำนาได้ จึงนับว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดี การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยที่ 1 และอนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำบุคคลดังกล่าวเข้าเบิกความจึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับพยานนอกกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด ศาลมีอำนาจได้หากมีเหตุผลแห่งความยุติธรรม และประเด็นสำคัญในคดี
จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานจนล่วงเลยกำหนดเวลาตามกฎหมาย หลังจากนั้นได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมรวม 2 ครั้ง โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยที่ 1 ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2545 โดยเข้าใจว่า เป็นการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 โจทก์รับสำเนาแล้วไม่คัดค้าน ศาลอนุญาตและรับบัญชีระบุพยานจำเลยที่ 1 จึงถือว่าเป็นกรณีที่ศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อพ้นระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคหนึ่ง อันเป็นการใช้ดุลพินิจรับบัญชีระบุพยานจำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสามแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่สองได้ แม้โจทก์จะคัดค้าน และการยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แต่เมื่อคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของหรือในฐานะผู้เช่า ดังนี้ บัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 1 ที่อ้างพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์ จึงนับว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยที่ 1 และอนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำพยานบุคคลตามบัญชีระบุพยานเข้าเบิกความ จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ – สิทธิฟ้องระงับ – ผู้ถือหุ้นฟ้องคดีอาญาเดียวกัน
โจทก์คดีนี้กับโจทก์ในอีกคดีหนึ่งต่างเป็นผู้เสียหาย และต่างฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดอันเดียวกัน เมื่อคดีนั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) แม้ว่าโจทก์คดีนี้จะเป็นคนละคนกับโจทก์คดีดังกล่าว และฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนก็ตาม มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าจำเลยทั้งสองถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอันเดียวกันซ้ำสองอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำซ้อนในความผิดอาญาเดียวกัน แม้โจทก์ต่างคนกัน สิทธิฟ้องระงับตามกฎหมาย
โจทก์คดีนี้กับโจทก์คดีก่อนของศาลชั้นต้น ต่างเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ม. และต่างฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดอันเดียวกัน ซึ่งคดีก่อนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) แม้ว่าโจทก์คดีนี้จะเป็นคนละคนกับโจทก์คดีก่อนและฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนก็ตาม มิฉะนั้น ก็จะกลายเป็นว่าจำเลยทั้งสองถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอันเดียวกันซ้ำสองอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยไม่มีเจตนาไตร่ตรอง การรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนที่เป็นพยานบอกเล่า
คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ให้การว่าเหตุที่จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมแทงผู้เสียหายเพราะจำเลยสืบทราบว่า ผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการฆ่าญาติของจำเลยเป็นพยานบอกเล่า ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานและไม่มีเหตุเข้าข้อยกเว้นให้รับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาเจตนาทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และการรับฟังพยานบอกเล่าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ให้การว่าเหตุที่จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมแทงผู้เสียหายเพราะจำเลยสืบทราบว่า ผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการฆ่าญาติของจำเลยเป็นพยานบอกเล่าต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานและไม่มีเหตุเข้าข้อยกเว้นให้รับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) (2)