พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5,846 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2373/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการบันดาลโทสะ: เจตนาฆ่าลดหย่อนโทษ
การกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย สิทธิอันบุคคลมีอยู่นั้นต้องเป็นสิทธิที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ด้วย การที่จำเลยยิงผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายลักลอบหลับนอน ร่วมประเวณีกับ ส. ซึ่งมิได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีภยันอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายต่อ ส. การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันสิทธิโดยชอบ แต่แม้ว่าจำเลย และ ส. จะมิได้เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย แต่จำเลยก็ได้อุปการะเลี้ยงดู ส. เยี่ยงภริยา ซึ่งผู้เสียหาย ก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของจำเลยกับ ส. แต่ผู้เสียหายก็ยังไปลักลอบร่วมประเวณีกับ ส. การที่จำเลยยิงผู้เสียหายในขณะ ดังกล่าวจึงเป็นการบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2293/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อเสียงเลือกตั้งส.ว. โดยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกระทบต่อระบอบประชาธิปไตยและความมั่นคงของชาติ
จำเลยทั้งสองมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกลับมากระทำความผิดโดยให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจะจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งรายหนึ่ง เป็นการทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างไม่บริสุทธิ์และไม่ยุติธรรมต่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งรายอื่น ทั้งยังเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติอีกด้วย ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยทั้งสองนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2137/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกไม่อยู่ภายใต้บังคับ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน การเลิกจ้างเนื่องจากอายุครบ 60 ปีเข้าข่ายเลิกจ้าง
พระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. 2510มาตรา 6,7 และมาตรา 9(1) และ (2) เพียงแต่บัญญัติว่าองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกจำเลยเป็นนิติบุคคลโดยเป็นองค์การของรัฐเพื่อการกุศล ได้รับเงินอุดหนุนจากงบเงินอุดหนุนของกระทรวงกลาโหมและเงินที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นครั้งคราวแต่ไม่มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้จำเลยเป็นราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาคหรือราชการส่วนท้องถิ่นทั้งตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 มาตรา 8 จำเลยก็ไม่ได้เป็นส่วนราชการของกระทรวงกลาโหมจำเลยจึงมิได้เป็นราชการส่วนกลางราชการส่วนภูมิภาคหรือราชการส่วนท้องถิ่น ที่จะได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดที่ห้ามมิให้หน่วยงานขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกจำเลยดำเนินกิจการเพื่อหารายได้อันเป็นการแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ทั้งการที่สำนักงานกิจการศาลหลักเมืองนำรายได้อันเกิดจากการจำหน่ายดอกไม้ ธูปเทียนพวงมาลัยผ้าแพรสมทบกับเงินบริจาคจากผู้บริจาคต่าง ๆส่งให้แก่จำเลยนำไปใช้จ่ายเพื่อการกุศล ก็เป็นการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของจำเลยนั่นเอง มิได้ดำเนินการนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของจำเลยการดำเนินกิจการดังกล่าวจึงเป็นการแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ
ข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยลูกจ้างองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. 2521 ให้ถือปฏิบัติตามข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยพนักงานองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. 2536ซึ่งกำหนดว่าพนักงานของจำเลยจะต้องออกจากงานเมื่อสิ้นปีงบประมาณของปีที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์นั้น หมายถึงให้จำเลยดำเนินการให้พนักงานที่ขาดคุณสมบัติเนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ออกจากงานนั่นเอง การที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุที่โจทก์มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์เป็นการไม่ให้โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างทำงานต่อไป จึงเป็นการเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคสอง
ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดที่ห้ามมิให้หน่วยงานขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกจำเลยดำเนินกิจการเพื่อหารายได้อันเป็นการแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ทั้งการที่สำนักงานกิจการศาลหลักเมืองนำรายได้อันเกิดจากการจำหน่ายดอกไม้ ธูปเทียนพวงมาลัยผ้าแพรสมทบกับเงินบริจาคจากผู้บริจาคต่าง ๆส่งให้แก่จำเลยนำไปใช้จ่ายเพื่อการกุศล ก็เป็นการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของจำเลยนั่นเอง มิได้ดำเนินการนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของจำเลยการดำเนินกิจการดังกล่าวจึงเป็นการแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ
ข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยลูกจ้างองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. 2521 ให้ถือปฏิบัติตามข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยพนักงานองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. 2536ซึ่งกำหนดว่าพนักงานของจำเลยจะต้องออกจากงานเมื่อสิ้นปีงบประมาณของปีที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์นั้น หมายถึงให้จำเลยดำเนินการให้พนักงานที่ขาดคุณสมบัติเนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ออกจากงานนั่นเอง การที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุที่โจทก์มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์เป็นการไม่ให้โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างทำงานต่อไป จึงเป็นการเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2137/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างเนื่องจากอายุครบ 60 ปี และข้อยกเว้น พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานสำหรับหน่วยงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยเป็นหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น ได้รับการยกเว้นมิให้อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เท่ากับจำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง อันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างได้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลแรงงานกลาง
ตาม พ.ร.บ.องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ.2510 มาตรา 6, 7 และมาตรา 9 (1) และ (2) เพียงแต่บัญญัติว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลโดยเป็นองค์การของรัฐเพื่อการกุศล ได้รับเงินอุดหนุนจากงบเงินอุดหนุนของกระทรวงกลาโหมและเงินที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นครั้งคราว แต่มิได้มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้จำเลยเป็นราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาคหรือราชการส่วนท้องถิ่น ทั้งตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2503 มาตรา 8 จำเลยก็มิได้เป็นส่วนราชการของกระทรวงกลาโหม จำเลยจึงมิได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
สำนักงานกิจการศาลหลักเมืองกำหนดราคาจำหน่ายดอกไม้ธูปเทียน พวงมาลัย ผ้าแพร เท่าราคาทุน แต่ได้กำไรจากการที่สามารถนำดอกไม้พวงมาลัย ผ้าแพร กลับมาจำหน่ายอีก ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเป็นรายได้ส่วนหนึ่งของสำนักงานกิจการศาลหลักเมืองนอกเหนือจากเงินที่มีผู้บริจาค และเงินที่มีผู้บริจาคใส่ตู้รับบริจาคตามจุดต่าง ๆ ในบริเวณศาลหลักเมืองถือได้ว่ากิจการของสำนักงานกิจการศาลหลักเมืองเป็นกิจการที่แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ อุทธรณ์ของจำเลยที่แสดงเหตุผลต่าง ๆ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า สำนักงานกิจการศาลหลักเมืองดำเนินกิจการที่แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
จำเลยมีวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ.2510 เพื่อการกุศล การดำเนินกิจการของจำเลยเป็นการให้การสงเคราะห์ แต่ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดที่ห้ามมิให้หน่วยงานของจำเลยดำเนินกิจการเพื่อหารายได้อันเป็นการแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ทั้งการที่สำนักงานกิจการศาลหลักเมืองนำรายได้อันเกิดจากการจำหน่ายดอกไม้ ธูปเทียน พวงมาลัย ผ้าแพรสมทบกับเงินบริจาคจากผู้บริจาคต่าง ๆ ส่งให้แก่จำเลยนำไปใช้จ่ายเพื่อการกุศล ก็เป็นการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของจำเลยนั่นเอง
แม้จำเลยมีข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยพนักงานองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยลูกจ้างองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ.2510 โดยข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยลูกจ้างฯ ให้ถือปฏิบัติตามข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยพนักงานฯ ซึ่งกำหนดว่าพนักงานของจำเลยจะต้องออกจากงานเมื่อสิ้นปีงบประมาณของปีที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ก็ตาม แต่ก็หมายถึงให้จำเลยดำเนินการให้พนักงานที่ขาดคุณสมบัติเนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ออกจากงานการที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุที่โจทก์มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์จึงเป็นการกระทำที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างไม่ให้โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างทำงานต่อไป ย่อมเป็นการเลิกจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 วรรคสอง
ตาม พ.ร.บ.องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ.2510 มาตรา 6, 7 และมาตรา 9 (1) และ (2) เพียงแต่บัญญัติว่าจำเลยเป็นนิติบุคคลโดยเป็นองค์การของรัฐเพื่อการกุศล ได้รับเงินอุดหนุนจากงบเงินอุดหนุนของกระทรวงกลาโหมและเงินที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นครั้งคราว แต่มิได้มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้จำเลยเป็นราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาคหรือราชการส่วนท้องถิ่น ทั้งตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2503 มาตรา 8 จำเลยก็มิได้เป็นส่วนราชการของกระทรวงกลาโหม จำเลยจึงมิได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
สำนักงานกิจการศาลหลักเมืองกำหนดราคาจำหน่ายดอกไม้ธูปเทียน พวงมาลัย ผ้าแพร เท่าราคาทุน แต่ได้กำไรจากการที่สามารถนำดอกไม้พวงมาลัย ผ้าแพร กลับมาจำหน่ายอีก ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเป็นรายได้ส่วนหนึ่งของสำนักงานกิจการศาลหลักเมืองนอกเหนือจากเงินที่มีผู้บริจาค และเงินที่มีผู้บริจาคใส่ตู้รับบริจาคตามจุดต่าง ๆ ในบริเวณศาลหลักเมืองถือได้ว่ากิจการของสำนักงานกิจการศาลหลักเมืองเป็นกิจการที่แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ อุทธรณ์ของจำเลยที่แสดงเหตุผลต่าง ๆ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า สำนักงานกิจการศาลหลักเมืองดำเนินกิจการที่แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
จำเลยมีวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ.2510 เพื่อการกุศล การดำเนินกิจการของจำเลยเป็นการให้การสงเคราะห์ แต่ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดที่ห้ามมิให้หน่วยงานของจำเลยดำเนินกิจการเพื่อหารายได้อันเป็นการแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ทั้งการที่สำนักงานกิจการศาลหลักเมืองนำรายได้อันเกิดจากการจำหน่ายดอกไม้ ธูปเทียน พวงมาลัย ผ้าแพรสมทบกับเงินบริจาคจากผู้บริจาคต่าง ๆ ส่งให้แก่จำเลยนำไปใช้จ่ายเพื่อการกุศล ก็เป็นการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของจำเลยนั่นเอง
แม้จำเลยมีข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยพนักงานองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยลูกจ้างองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ.2510 โดยข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยลูกจ้างฯ ให้ถือปฏิบัติตามข้อบังคับสภาทหารผ่านศึกว่าด้วยพนักงานฯ ซึ่งกำหนดว่าพนักงานของจำเลยจะต้องออกจากงานเมื่อสิ้นปีงบประมาณของปีที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ก็ตาม แต่ก็หมายถึงให้จำเลยดำเนินการให้พนักงานที่ขาดคุณสมบัติเนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ออกจากงานการที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุที่โจทก์มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์จึงเป็นการกระทำที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างไม่ให้โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างทำงานต่อไป ย่อมเป็นการเลิกจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แม้จ่ายค่าชดเชย เพราะไม่ได้เกิดจากความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของกิจการ
จำเลยเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลบังคับเนื่องจากต้องการปรับปรุงระบบการทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจมีความเจริญก้าวหน้าและกำไรมากขึ้น มิใช่ความจำเป็นที่มิอาจหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขเพื่อให้กิจการดำรงอยู่ต่อไปได้ ไม่เข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 123 จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม แม้โจทก์ได้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ให้แก่จำเลยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและตามข้อบังคับการทำงานครบถ้วน ก็เป็นเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างในการเลิกจ้างกรณีปกติ มิใช่เป็นการจ่ายค่าเสียหายเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน จำเป็นต้องพิสูจน์ความจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นอกเหนือจากเหตุตามกฎหมาย
โจทก์ปรับปรุงระบบการทำงานแล้วลดจำนวนพนักงานที่ไม่จำเป็นลงรวมทั้งจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องด้วย การที่โจทก์เลิกจ้างจำเลยในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลบังคับ เนื่องจากต้องการปรับปรุงระบบการทำงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแข่งขันด้านธุรกิจมีความเจริญก้าวหน้าและกำไรมากขึ้นดังกล่าว มิใช่ความจำเป็นที่มิอาจหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขเพื่อให้กิจการดำรงอยู่ต่อไปได้ไม่เข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123 จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม แม้โจทก์ได้จ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่จำเลยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและตามข้อบังคับการทำงานครบถ้วนแล้ว ก็เป็นเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างในการเลิกจ้างกรณีปกติมิใช่เป็นการจ่ายค่าเสียหายเนื่องจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1389/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับร้ายแรง: การพนันในที่ทำงาน
การกำหนดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างก็เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่นายจ้างในอนาคต การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับ การทำงานในกรณีร้ายแรงบางประเภทก็ไม่ต้องพิจารณาว่าเกิดความเสียหายแก่นายจ้างแล้วหรือไม่
การพนันเป็นหนทางสู่อบายมุข หากผู้ใดหมกมุ่นก็จะเสียงานเสียการเกิดการแตกแยกความสามัคคีในหมู่คนงาน และอาจเป็นผลทำให้คิดกระทำการทุจริตต่อหน้าที่หากเสียการพนันมาก ๆ จนเกิดปัญหาด้านการเงิน อันอาจจะทำให้ ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายได้ แม้ผู้คัดค้านจะรับแทงสลากกินรวบเพียงจำนวน 100 บาท ก็ได้ชื่อว่าผู้คัดค้านจัดให้เล่นการพนันสลากกินรวบภายในบริษัทผู้ร้องแล้ว ทั้งยังเป็นการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ซึ่งมีโทษทางอาญาด้วย การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการฝ่าผืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน อันเป็นกรณีร้ายแรงแล้ว ผู้คัดค้านเป็นกรรมการลูกจ้างและยังเป็นรองประธานสหภาพแรงงานด้วย ควรจะดำรงตน ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนคนงานด้วยกัน แต่กลับมาชักชวนให้เพื่อนคนงานเล่นการพนันเสียเอง จึงสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้าน
การพนันเป็นหนทางสู่อบายมุข หากผู้ใดหมกมุ่นก็จะเสียงานเสียการเกิดการแตกแยกความสามัคคีในหมู่คนงาน และอาจเป็นผลทำให้คิดกระทำการทุจริตต่อหน้าที่หากเสียการพนันมาก ๆ จนเกิดปัญหาด้านการเงิน อันอาจจะทำให้ ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายได้ แม้ผู้คัดค้านจะรับแทงสลากกินรวบเพียงจำนวน 100 บาท ก็ได้ชื่อว่าผู้คัดค้านจัดให้เล่นการพนันสลากกินรวบภายในบริษัทผู้ร้องแล้ว ทั้งยังเป็นการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ซึ่งมีโทษทางอาญาด้วย การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการฝ่าผืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน อันเป็นกรณีร้ายแรงแล้ว ผู้คัดค้านเป็นกรรมการลูกจ้างและยังเป็นรองประธานสหภาพแรงงานด้วย ควรจะดำรงตน ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนคนงานด้วยกัน แต่กลับมาชักชวนให้เพื่อนคนงานเล่นการพนันเสียเอง จึงสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานชิงทรัพย์และการริบของกลาง: การประเมินความร้ายแรงของบาดแผลและการใช้ยานพาหนะ
ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเพียงเป็นบาดแผลฟกช้ำบริเวณหน้าผากด้านขวาและคอด้านข้างแถบขวาชัดเจน ใช้เวลารักษาประมาณ 3 วันหาย จึงยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย
พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่เพียงขับรถจักรยานยนต์ไปจอดรอจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายบริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น เมื่อรถจักรยานยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แล้ว จึงไม่อาจริบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางได้เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวทั้งหมดเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่เพียงขับรถจักรยานยนต์ไปจอดรอจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายบริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น เมื่อรถจักรยานยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แล้ว จึงไม่อาจริบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางได้เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวทั้งหมดเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1147/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนหลักทรัพย์ค้ำประกันเมื่อลูกจ้างลาออก สัญญาเดิมเป็นเกณฑ์ แม้มีการยินยอมเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม
โจทก์ทั้งสองทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของ ค. กับจำเลย และนำโฉนดที่ดินมอบให้แก่จำเลยยึดถือไว้เป็นหลักประกัน ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันระบุว่า ในการขอคืนหลักประกันจะกระทำได้ต่อเมื่อ ค. สิ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน โดยไม่ได้กระทำการใดให้นายจ้างเสียหาย เมื่อ ค. ลาออกจากการเป็นลูกจ้างจำเลย จึงเป็นการสิ้นสภาพการเป็นพนักงาน สัญญาค้ำประกันของโจทก์ทั้งสองย่อมระงับสิ้นไป แม้ ค. ทำหนังสือยินยอมเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ในการขอคืนหลักทรัพย์ใหม่ ก็หามีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองไม่ และข้อความในสัญญาค้ำประกันฉบับหลังหาใช่เป็นการขยายข้อความที่ว่า โดยไม่ได้กระทำการใดให้นายจ้างเสียหายตามสัญญาค้ำประกันเดิม ดังนั้นจำเลยจึงต้องคืนโฉนดที่ดินหลักทรัพย์ค้ำประกันแก่โจทก์ทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1128/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขข้อตกลงสภาพการจ้างต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง การเปลี่ยนแปลงโทษทางวินัยที่หนักขึ้นทำไม่ได้หากไม่ได้รับความยินยอม
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย มีสภาพเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เมื่อบริษัทจำเลยได้มีประกาศแก้ไขเปลี่ยนแปลงการลงโทษทางวินัยลูกจ้างที่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหนักขึ้นกว่าที่กำหนดไว้ ซึ่งไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 13 กำหนดไว้ เมื่อไม่ปรากฏว่าบริษัทจำเลยได้แจ้งข้อเรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อตกลง หรือฝ่ายลูกจ้างได้ให้ความยินยอมแต่อย่างใด เพียงแต่บริษัทจำเลยได้ปิดประกาศให้ลูกจ้างทราบ แม้จะไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านก็ตาม ก็ยังไม่อาจถือว่าลูกจ้างให้ความยินยอมที่บริษัทจำเลยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว ดังนั้น ประกาศของจำเลย จึงไม่มีผลใช้บังคับกับบรรดาลูกจ้างได้