พบผลลัพธ์ทั้งหมด 810 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2987/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้ขายฝากแล้วฟ้องแย้งสิทธิ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ส่วนโรงงานน้ำแข็งในที่ดินของผู้อื่นยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เช่าซื้อ
โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโฉนดที่พิพาท แต่โจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดแต่ผู้เดียว และโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 แต่แล้วโจทก์ที่ 1 กลับใช้สิทธิในฐานะเจ้าของที่ดินร่วมฟ้องเรียกที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 1 คืนจากจำเลยที่ 2 เช่นนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
เอกสารสัญญาเช่าซื้อนั้น แม้ในขณะทำสัญญากันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์แต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างจะขอศาลให้สั่งเจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการปิดให้ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
เมื่อโรงงานทำน้ำแข็งและอุปกรณ์เครื่องทำน้ำแข็งพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 2 ได้ก่อสร้างลงในที่ดินโฉนดที่ 2295 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ และโจทก์ที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน โดยโจทก์ที่1และจำเลยที่1ได้ยินยอมให้ปลูกลงในที่ดินเพื่อให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อ แต่โจทก์ที่ 1 ยังชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ที่ 2 ยังไม่ครบถ้วน โรงงานน้ำแข็งและเครื่องทำน้ำแข็งจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งดังกล่าวจึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอันผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงไว้ในที่ดินนั้น จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดที่ 2295 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 แม้ภายหลังต่อมาที่ดินโฉนดที่ 2295 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือสัญญาขายฝาก โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่ส่วนควบของที่ดินจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ออกจากโรงงานทำน้ำแข็ง และเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยที่ 2 มิได้ครอบครองโรงงานทำน้ำแข็งพิพาทจากโจทก์ที่ 1
เอกสารสัญญาเช่าซื้อนั้น แม้ในขณะทำสัญญากันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์แต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างจะขอศาลให้สั่งเจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการปิดให้ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
เมื่อโรงงานทำน้ำแข็งและอุปกรณ์เครื่องทำน้ำแข็งพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 2 ได้ก่อสร้างลงในที่ดินโฉนดที่ 2295 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ และโจทก์ที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน โดยโจทก์ที่1และจำเลยที่1ได้ยินยอมให้ปลูกลงในที่ดินเพื่อให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อ แต่โจทก์ที่ 1 ยังชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ที่ 2 ยังไม่ครบถ้วน โรงงานน้ำแข็งและเครื่องทำน้ำแข็งจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งดังกล่าวจึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอันผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงไว้ในที่ดินนั้น จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดที่ 2295 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 แม้ภายหลังต่อมาที่ดินโฉนดที่ 2295 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือสัญญาขายฝาก โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่ส่วนควบของที่ดินจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ออกจากโรงงานทำน้ำแข็ง และเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยที่ 2 มิได้ครอบครองโรงงานทำน้ำแข็งพิพาทจากโจทก์ที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2987/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้จำนอง/ขายฝากแล้วฟ้องขอคืนสิทธิ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และกรรมสิทธิ์โรงงานยังเป็นของเจ้าของเดิม
โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโฉนดที่พิพาท แต่โจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดแต่ผู้เดียว และโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 แต่แล้วโจทก์ที่ 1 กลับใช้สิทธิในฐานะเจ้าของที่ดินร่วมฟ้องเรียกที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 1 คืนจากจำเลยที่ 2 เช่นนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
เอกสารสัญญาเช่าซื้อนั้น แม้ในขณะทำสัญญากันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์แต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างจะขอศาลให้สั่งเจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการปิดให้ ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
เมื่อโรงงานทำน้ำแข็งและอุปกรณ์เครื่องทำน้ำแข็งพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 2 ได้ก่อสร้างลงในที่ดินโฉนดที่ 2295 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ และโจทก์ที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน โดยโจทก์ที่1และจำเลยที่1ได้ยินยอมให้ปลูกลงในที่ดินเพื่อให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อ แต่โจทก์ที่ 1 ยังชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ที่ 2 ยังไม่ครบถ้วน โรงงานน้ำแข็งและเครื่องทำน้ำแข็งจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งดังกล่าวจึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอันผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงไว้ในที่ดินนั้น จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดที่ 2295 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 แม้ภายหลังต่อมาที่ดินโฉนดที่ 2295 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือสัญญาขายฝาก โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่ส่วนควบของที่ดิน จึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ออกจากโรงงานทำน้ำแข็ง และเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยที่ 2มิได้ครอบครองโรงงานทำน้ำแข็งพิพาทจากโจทก์ที่ 1
เอกสารสัญญาเช่าซื้อนั้น แม้ในขณะทำสัญญากันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์แต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างจะขอศาลให้สั่งเจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการปิดให้ ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
เมื่อโรงงานทำน้ำแข็งและอุปกรณ์เครื่องทำน้ำแข็งพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 2 ได้ก่อสร้างลงในที่ดินโฉนดที่ 2295 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ และโจทก์ที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน โดยโจทก์ที่1และจำเลยที่1ได้ยินยอมให้ปลูกลงในที่ดินเพื่อให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อ แต่โจทก์ที่ 1 ยังชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ที่ 2 ยังไม่ครบถ้วน โรงงานน้ำแข็งและเครื่องทำน้ำแข็งจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งดังกล่าวจึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอันผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงไว้ในที่ดินนั้น จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดที่ 2295 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 แม้ภายหลังต่อมาที่ดินโฉนดที่ 2295 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือสัญญาขายฝาก โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่ส่วนควบของที่ดิน จึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ออกจากโรงงานทำน้ำแข็ง และเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยที่ 2มิได้ครอบครองโรงงานทำน้ำแข็งพิพาทจากโจทก์ที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2742/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ผู้อื่นแทนที่จะโอนให้ตนเอง ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ก่อนถึงกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ จำเลยได้ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุคคลภายนอก โดยโจทก์ได้มาติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้โอนที่พิพาทให้บุคคลภายนอกนั้นและโดยอาศัยใบมอบอำนาจของจำเลย ครั้นเจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถทำให้ได้ โจทก์ก็พาจำเลยมาทำนิติกรรมโอนขายให้บุคคลภายนอกเช่นนี้แสดงอยู่ว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทให้บุคคลภายนอกแทนที่จะทำการโอนให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์จะมากล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์หาได้ไม่ โจทก์มาฟ้องคดีถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2742/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ผู้อื่นแทนที่จะโอนให้ตนเอง ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ก่อนถึงกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ จำเลยได้ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุคคลภายนอก โดยโจทก์ได้มาติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้โอนที่พิพาทให้บุคคลภายนอกนั้น และโดยอาศัยใบมอบอำนาจของจำเลย ครั้นเจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถทำให้ได้ โจทก์ก็พาจำเลยมาทำนิติกรรมโอนขายให้บุคคลภายนอก เช่นนี้แสดงอยู่ว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทให้บุคคลภายนอกแทนที่จะทำการโอนให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์จะมากล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์หาได้ไม่ โจทก์มาฟ้องคดีถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิทางการค้าโดยไม่สุจริต เลียนแบบเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ทำให้เกิดความสับสนแก่ผู้บริโภค
โจทก์เป็นผู้ผลิตสินค้าลูกกวาดและขนมที่มียาผสมอยู่ด้วยโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า " HALLS " และได้จดทะเบียนเครื่องหมายดังกล่าวในจำพวกที่ 3 สำหรับสินค้าลูกกวาดและขนมที่มียาผสมอยู่ด้วย ซึ่งกองเครื่องหมายการค้าได้จดทะเบียนแล้วเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2506 ครั้นวันที่ 23 มีนาคม 2510 จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า " HALL" ในสินค้าจำพวก 48 เครื่องสำอาง ดังนี้ความสำคัญที่เห็นเด่นชัดที่ผู้ซื้อสนใจหรือสังเกตว่าเป็นชื่อเครื่องหมายการค้าอยู่ตรงที่มีอักษรโรมันและสำเนียงที่เรียกขานทั้งของโจทก์และของจำเลยก็อ่านว่า "ฮอลล์" อย่างเดียวกัน เมื่อโจทก์นำสืบให้เห็นว่าสินค้าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นที่แพร่หลายโดยโจทก์ได้แพร่ภาพโฆษณาทางโทรทัศน์ภาพยนตร์ เอกสารสิ่งพิมพ์แผ่นป้ายโฆษณา และหน่วยรถฉายภาพยนตร์แต่จำเลยหาได้กระทำไม่ เครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวจึงส่อให้เห็นถึงการฉวยโอกาสเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อแสวงหาประโยชน์จำหน่ายสินค้าของจำเลย อันอาจทำให้ประชาชนหลงผิดได้ว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยคือเครื่องหมายการค้าของโจทก์ แม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยในสินค้าต่างจำพวกกับสินค้าของโจทก์ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้านั้นอยู่ก่อนแล้ว ก็ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย เพราะผู้ซื้อหรือผู้ใช้สินค้าอาจหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าที่โจทก์ผลิตขึ้น การกระทำของจำเลยเป็นการส่อเจตนาที่จะลวงขายสินค้าของจำเลยว่าเป็นของโจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิไม่สุจริตทางการค้า: การเลียนแบบเครื่องหมายการค้าทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้บริโภค
โจทก์เป็นผู้ผลิตสินค้าลูกกวาดและขนมที่มียาผสมอยู่ด้วยโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "HALLS" และได้จดทะเบียนเครื่องหมายดังกล่าวในจำพวกที่ 3 สำหรับสินค้าลูกกวาดและขนมที่มียาผสมอยู่ด้วย ซึ่งกองเครื่องหมายการค้าได้จดทะเบียนแล้วเมื่อวันที่ 26กุมภาพันธ์ 2506 ครั้นวันที่ 23 มีนาคม 2510 จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า "HALL" ในสินค้าจำพวก 48 เครื่องสำอาง ดังนี้ ความสำคัญที่เห็นเด่นชัดที่ผู้ซื้อสนใจหรือสังเกตว่าเป็นชื่อเครื่องหมายการค้าอยู่ตรงที่มีอักษรโรมัน และสำเนียงที่เรียกขานทั้งของโจทก์และของจำเลยก็อ่านว่า "ฮอลล์"อย่างเดียวกัน เมื่อโจทก์นำสืบให้เห็นว่าสินค้าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นที่แพร่หลาย โดยโจทก์ได้แพร่ภาพโฆษณาทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เอกสารสิ่งพิมพ์แผ่นป้ายโฆษณา และหน่วยรถฉายภาพยนตร์แต่จำเลยหาได้กระทำไม่ เครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวจึงส่อให้เห็นถึงการฉวยโอกาสเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เพื่อแสวงหาประโยชน์จำหน่ายสินค้าของจำเลย อันอาจทำให้ประชาชนหลงผิดได้ว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยคือเครื่องหมายการค้าของโจทก์แม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยในสินค้าต่างจำพวกกับสินค้าของโจทก์ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้านั้นอยู่ก่อนแล้ว ก็ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย เพราะผู้ซื้อหรือผู้ใช้สินค้าอาจหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าที่โจทก์ผลิตขึ้น การกระทำของจำเลยเป็นการส่อเจตนาที่จะลวงขายสินค้าของจำเลยว่าเป็นของโจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับโอนเช็คที่รู้ว่าไม่มีมูลหนี้ ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ครายพิพาทจากจำเลยในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย โดยโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทให้แก่ ส. เพื่อเป็นประกันหนี้โดย ส. รับเหมาช่วงงานจากจำเลยไปทำ และต่อมา ส. ทิ้งงานนั้นแล้วยักยอกเอาเช็คนั้นไปให้โจทก์ โจทก์ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริตเนื่องจากการฉ้อฉลของ ส. เพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ส. อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ให้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อให้ได้เงินมาแบ่งปัน จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ตามคำให้การจำเลยดังกล่าว จำเลยยืนยันแต่เพียงว่า ส. ฝ่ายเดียวฉ้อฉล หาได้ยืนยันว่าโจทก์ร่วมฉ้อฉลด้วยไม่แม้จะมีข้อความทำนองว่า ส. สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ จำเลยก็กล่าวแต่เพียงว่า ส. อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งแปลได้ว่า ส. อาจไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ก็ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวแล้วจึงคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามในระหว่างพิจารณา จำเลยก็แถลงว่าเช็ครายพิพาทจะตกไปอยู่ที่โจทก์อย่างไรจำเลยไม่ทราบ ดังนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ในคำให้การนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้วการที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้วการที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับโอนเช็คที่รู้ว่าไม่มีมูลหนี้ ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ครายพิพาทจากจำเลยในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย โดยโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทให้แก่ ส. เพื่อเป็นประกันหนี้โดย ส.รับเหมาช่วงงานจากจำเลยไปทำ และต่อมาส. ทิ้งงานนั้น แล้วยักยอกเอาเช็คนั้นไปให้โจทก์ โจทก์ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริตเนื่องจากการฉ้อฉลของ ส. เพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ส.อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ ให้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อให้ได้เงินมาแบ่งปัน จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ตามคำให้การจำเลยดังกล่าว จำเลยยืนยันแต่เพียงว่า ส. ฝ่ายเดียวฉ้อฉล หาได้ยืนยันว่าโจทก์ร่วมฉ้อฉลด้วยไม่ แม้จะมีข้อความทำนองว่า ส.สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ จำเลยก็กล่าวแต่เพียงว่า ส.อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งแปลได้ว่า ส.อาจไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ก็ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวแล้วจึงคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามในระหว่างพิจารณา จำเลยก็แถลงว่าเช็ครายพิพาทจะตกไปอยู่ที่โจทก์อย่างไรจำเลยไม่ทราบ ดังนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ในคำให้การนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้ว การที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้ว การที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเช็คโดยไม่สุจริต ผู้รับโอนไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากผู้สลักหลังโดยไม่สุจริต จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเงินตามเช็คพิพาทจากผู้สั่งจ่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเช็คพิพาทโดยไม่สุจริต ทำให้ผู้รับโอนไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากผู้สลักหลังโดยไม่สุจริต จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเงินตามเช็คพิพาทจากผู้สั่งจ่าย