คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 5

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 810 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ของหมั้นไม่จำต้องเป็นกรรมสิทธิ์ชายคู่หมั้น การหมั้นสมบูรณ์เมื่อสมรสแล้ว
ของหมั้นไม่จำต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของชายคู่หมั้น แม้จะเป็นของคนอื่นก็อาจเป็นของหมั้นและตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่หญิงในเมื่อสมรสแล้วได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1436 ก็ใช้คำว่า ฝ่ายชาย มิได้ใช้คำว่า ชายเฉยๆ
พ.สามีจำเลยกับจำเลยได้ไปทำการหมั้นโจทก์ให้แก่จ.ซึ่งเป็นบุตรของ พ. โดยใช้แหวนเป็นของหมั้น แหวนนี้จะเป็นเพียงจำเลยให้ยืมโดย พ. ทราบด้วยหรือไม่ทราบก็ตาม เมื่อปรากฏว่าทางฝ่ายโจทก์และบิดามารดาโจทก์หาได้ทราบความข้อนี้ด้วยไม่ จึงจะเอาข้อตกลงระหว่าง จ. กับจำเลยตลอดจนความไม่รู้ของ พ. หากเป็นความจริงไปผูกมัดโจทก์ไม่ได้
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้กำหนดค่าฤชาธรรมเนียมให้โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายชนะนั้น โจทก์อาจฎีกาได้ตามมาตรา168 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่โจทก์ไม่ได้ฎีกา เป็นแต่เพียงแถลงมาในคำแก้ฎีกานั้นย่อมไม่ได้ แต่เนื่องจากเวลาพิพากษาศาลฎีกามีอำนาจสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตลอดไปถึงของศาลล่างด้วยโดยอาศัยอำนาจนี้ ศาลฎีกาอาจวินิจฉัยเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนี้ให้ได้ในเมื่อเห็นสมควร
เมื่อพ้นกำหนดยื่นคำแก้อุทธรณ์ตามมาตรา 237 วรรคต้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว จำเลยจะยื่นคำแก้อุทธรณ์ไม่ได้ จะยื่นได้ก็แต่ในฐานะคำแถลงการณ์ตามมาตรา246,186 วรรคสอง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ก็รับไว้หากยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายหลังกำหนดและศาลรับไว้ในฐานะเป็นคำแถลงการณ์เท่านั้น ซึ่งมีผลว่าจำเลยจะตั้งประเด็นในศาลอุทธรณ์ไม่ได้ เพราะเป็นแต่เพียงคำแถลงการณ์ ไม่ใช่คำแก้อุทธรณ์ซึ่งเป็นคำคู่ความที่จำเลยอาจตั้งประเด็นได้
การยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายหลังกำหนดอันถือได้ว่าเป็นการยื่นคำแถลงการณ์นี้ ก็ถือได้ว่าทนายของจำเลยอุทธรณ์ได้ว่าคดีในชั้นศาลอุทธรณ์เหมือนกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ของหมั้นไม่จำต้องเป็นกรรมสิทธิชายคู่หมั้น สิทธิแก่หญิงเมื่อสมรสได้ แม้ของหมั้นเป็นของผู้อื่น
ของหมั้นไม่จำต้องเป็นกรรมสิทธิของชายคู่หมั้น แม้จะเป็นของคนอื่นก็อาจเป็นของหมั้นและตกเป็นกรรมสิทธิแก่หญิงในเมื่อสมรสแล้วได้ ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 1436 ก็ใช้คำว่า ฝ่ายชาย มิได้ใช้คำว่า ชาย เฉย ๆ
พ.สามีจำเลยกับจำเลยได้ไปทำการหมั้นโจทก์ให้แก่ จ. ซึ่งเป็นบุตรของ พ. โดยใช้แหวนเป็นของหมั้น แหวนนี้จะเป็นเพียงจำเลยให้ยืม โดย พ.ทราบด้วยหรือไม่ทราบก็ตาม เมื่อปรากฎว่าทางฝ่ายโจทก์และบิดามารดาโจทก์หาได้ทราบความข้อนี้ด้วยไม่ จึงจะเอาข้อตกลงระหว่าง จ.กับจำเลยตลอดจนความไม่รู้ของ พ.หากเป็นความจริง ไปผูกมัดโจทก์ไม่ได้.
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้กำหนดค่าฤชาธรรมเนียมให้โจทก์ ซึ่งเป็นฝ่ายชนะนั้น โจทก์อาจฎีกาได้ตามมาตรา 168 ป.ม.วิ.แพ่ง แต่โจทก์ไม่ได้ฎีกา เป็นแต่เพียงแถลงมาในคำแก้ฎีกานั้นย่อมไม่ได้ แต่เนื่องจากเวลาพิพากษาศาลฎีกามีอำนาจสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตลอดไปถึงของศาลล่างด้วย โดยอาศัยอำนาจนี้ ศาลฎีกาอาจวินิจฉัยเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนี้ให้ได้ในเมื่อเห็นสมควร
เมื่อพ้นกำหนดยื่นคำแก้อุทธรณ์ตามมาตรา 237 วรรคต้น ป.ม.วิ.แพ่งแล้วจำเลยจะยื่นคำแก้อุทธรณ์ไม่ได้ จะยื่นได้ก็แต่ในฐานะคำแถลงการณ์ตามมาตรา 246,186 วรรค 2 ป.ม.วิ.แพ่ง หากยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายหลังกำหนดและศาลรับไว้ก็รับไว้ในฐานะเป็นคำแถลงการณ์เท่านั้น ซึ่งมีผลว่าจำเลยจะตั้งประเด็นในศาลอุทธรณ์ไม่ได้เพราะเป็นแต่เพียงคำแถลงการณ์ ไม่ใช่คำแก้อุทธรณ์ซึ่งเป็นคำคู่ความที่จำเลยอาจตั้งประเด็นไว้
การยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายหลังกำหนดอันถือได้ว่าเป็นการยื่นคำแถลงการณ์นี้ ก็ถือได้ว่าทนายของจำเลยอุทธรณ์ได้ว่าคดีในชั้นศาลอุทธรณ์เหมือนกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1082-1083/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อโกงหลังการซื้อขายโดยได้รับความยินยอม ผู้ขายไม่มีสิทธิอ้างผลคำพิพากษาเดิมยันผู้ซื้อ
นารายพิพาทเดิมเป็นของ ฝ. ยกให้แก่ร. ต่อมาร.ขายนารายนี้ให้กับโจทก์ โดย ฝ. ก็รู้เห็นยินยอมด้วย โจทก์ได้เข้าครอบครองทำกินในที่นานี้แล้ว ต่อมา ฝ. โดยเจตนาจะฉ้อโกงโจทก์ได้คบคิดกับ ร. ฟ้องขอเพิกถอนการให้แม้ ฝ. จะชนะคดีโดยศาลพิพากษาให้เพิกถอนการให้ในคดีนั้น ก็จะเอาผลแห่งคำพิพากษาคดีนั้นมายันกับโจทก์ไม่ได้ กรณีไม่เข้าตามมาตรา 1431 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และไม่ใช่เป็นเรื่องลาภมิควรได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิโดยไม่สุจริตของผู้รับมรดก - เพิกถอนนิติกรรม - การครอบครองปรปักษ์
ภรรยาได้ประกาศรับมฤดกที่ดินของสามีแล้วโอนขายให้บุคคลอื่น แม้จะปรากฎว่าภรรยามิได้จดทะเบียนสมรสก็ดี แต่ได้มีการไหว้ผีตามประเพณี และอยู่ร่วมกันโดยเปิดเผยจนมีบุตรด้วยกัน 3 คน การที่โอนขายให้แก่บุคคลผู้นั้น ก็เนื่องจากสัญญาเดิมที่สามีได้ทำไว้ ซึ่งเป็นการชอบด้วยศีลธรรม เมื่อภรรยามาประกาศรับมฤดก โจทก์ก็ไม่มาคัดค้าน ปล่อยให้ภรรยารับมฤดกมาโอนขายแก่บุคคลผู้นั้น ๆ รับซื้อไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรม ดังนี้ ย่อมได้ชื่อว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 5 จะมาขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตของผู้รับมรดกและการซื้อขายที่ดินโดยสุจริต
ภรรยาได้ประกาศรับมรดกที่ดินของสามีแล้วโอนขายให้บุคคลอื่นแม้จะปรากฏว่าภรรยามิได้จดทะเบียนสมรสก็ดี แต่ได้มีการไหว้ผีตามประเพณีและอยู่ร่วมกันโดยเปิดเผยจนมีบุตรด้วยกัน 3 คน การที่โอนขายให้แก่บุคคลผู้นั้นก็เนื่องจากสัญญาเดิมที่สามีได้ทำไว้ ซึ่งเป็นการชอบด้วยศีลธรรม เมื่อภรรยามาประกาศรับมรดก โจทก์ก็ไม่มาคัดค้านปล่อยให้ภรรยารับมรดกมาโอนขายแก่บุคคลผู้นั้น บุคคลผู้นั้นรับซื้อไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรม ดังนี้ ย่อมได้ชื่อว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5จะมาขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2491

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเรือและการโอนกรรมสิทธิ์โดยทุจริต
โจทก์ได้ซื้อเรือต่อระวางบรรทุก 6,67 ตันกรอสจากจำเลยที่ 1โดยทำหนังสือกันเอง และได้ชำระเงินค่าเรือแล้ว จำเลยที่ 1 ได้มอบใบทะเบียนเรือและตัวเรือให้แก่โจทก์ ยังเหลือแต่เพียงไปโอนชื่อแก้ทะเบียนที่กรมเจ้าท่าเท่านั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิในเรือลำนี้แล้วต่อมาโจทก์มอบเรือลำนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ไปใช้ โดยจำเลยที่ 2 รู้เป็นอย่างดีแล้วว่า เรือลำนี้โจทก์ขอซื้อจากจำเลยที่ 1 และได้ชำระราคากันเสร็จแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 สมรู้กันไปโอนทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของ ดังนี้โจทก์ย่อมฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายเรือระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเรือและการโอนทะเบียนที่ทุจริตต่อผู้รับมอบทรัพย์
โจทก์ได้ซื้อเรือต่อระวางบรรทุก 6, 67 ตันกรอสจากจำเลยที่ 1 โดยทำหนังสือกันเอง และได้ชำระเงินค่าเรือแล้ว จำเลยที่ 1 ได้มอบใบทะเบียนเรือและตัวเรือให้แก่โจทก์ ยังเหลือแต่เพียงไปโอนชื่อแก้ทะเบียนที่กรมเจ้าท่าเท่านั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิในเรือลำนี้แล้ว ต่อมาโจทก์มอบเรือลำนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ไปใช้โดยจำเลยที่ 2 รู้เป็นอย่างดีแล้วว่า เรือลำนี้โจทก์ขอซื้อจากจำเลยที่ 1 และได้ชำระราคากันเสร็จแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 สมรู้กันไปโอนทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของ ดังนี้โจท์ย่อมฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายเรือระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2491

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเมื่อเจ้าของเดิมยกให้บางส่วนและมีการซื้อขายโดยไม่สุจริต
โจทก์ฟ้องว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งแปลง แต่เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าของเพียงบางส่วน ศาลย่อมพิพากษาแบ่งให้ได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยการยกให้ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยทางมรดก ดังนี้ ไม่ถือว่าผิดคำฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่นาแปลงเดียวกันแล้วจำเลยที่ 1 เอาที่ทั้งแปลงไปขายให้แก่จำเลย ที่ 2. โจทก์จะขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายทั้งหมดไม่ได้ เพราะจำเลยย่อมมีสิทธิขายส่วนของตนได้ แต่ไม่มีสิทธิขายส่วนของโจทก์ สัญญาซื้อขายระหว่างจำเลย ไม่ผูกพันโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินพิพาท: การแบ่งแยกสิทธิเมื่อเจ้าของร่วมขายสิทธิโดยไม่สุจริต และการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งแปลง แต่เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าของเพียงบางส่วน ศาลย่อมพิพากษาแบ่งให้ได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยการยกให้ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยทางมฤดก ดังนี้ ไม่ถือว่าผิดคำฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่นาแปลงเดียวกัน แล้วจำเลยที่ 1 เอาที่ทั้งแปลงไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์จะขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายทั้งหมดไม่ได้ เพราะจำเลยย่อมมีสิทธิขายส่วนของตนได้ แต่ไม่มีสิทธิขายส่วนของโจทก์ สัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยไม่ผูกพันโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2491

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องสินสมรสของภริยาหลวงเมื่อภริยาอีกคนฟ้องแบ่งสินสมรสก่อน แม้จะเคยเบิกความคัดค้าน
เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ภริยาคนหนึ่งฟ้องเรียกเอาสินสมรสในภาคภริยาเสียทั้งหมดดังนี้ ภริยาอีกคนหนึ่งซึ่งมีส่วนได้อยู่ด้วย ย่อมมีสิทธิติดตามฟ้องเรียกเอาส่วนของตนจากภริยาคนที่ฟ้องนั้นได้ภายในกำหนดอายุความ แม้ในขณะที่ภริยาคนหนึ่งฟ้องเรียกสินสมรสในคดีเรื่องก่อนนั้น ภริยาคนนี้จะมิได้เข้าร่วมเป็นโจทก์ด้วย และกลับเข้าเบิกความเป็นปฏิปักษ์ต่อภริยาคนนั้น ในคดีเรื่องนั้นก็ดีก็จะถือว่าเป็นข้อปิดปากภริยาคนนี้ หรือจะถือว่าภริยาคนนี้มาฟ้องคดีโดยใช้สิทธิไม่สุจริตไม่ได้ เพราะการที่จะเข้าร่วมเป็นคู่ความในคดีก่อน เพื่อบังคับตามสิทธิของตนหรือไม่นั้นเป็นสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย จะเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 มิใช่เป็นบทบังคับให้ต้องเข้าร่วมเป็นคู่ความด้วยเสมอไป
of 81