พบผลลัพธ์ทั้งหมด 377 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินและการฟ้องคดี การนำสืบพยานหลักฐาน และการวินิจฉัยของศาล
โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 127 ในชั้นพิจารณาโจทก์ก็นำสืบว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวและได้ส่งสำเนาใบแทนโฉนดที่ดินต่อศาล จำเลยเพียงแต่ให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามที่โจทก์อ้าง ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็ไม่ได้นำสืบตามที่จำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์และไม่ได้นำสืบโต้แย้งการนำสืบของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 127 จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ชอบด้วยกฎหมาย และการฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวก็คือการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นนั่นเอง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 127 จึงเป็นการวินิจฉัยไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หาขัดต่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสำนวนไม่
ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหาย โจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ส่วนการถมถนนที่ใดหรือบริเวณใด การจ่ายเงินจ่ายให้ใคร รายการใดบ้างและเป็นจำนวนเงินเท่าใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสองแล้ว
ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหาย โจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ส่วนการถมถนนที่ใดหรือบริเวณใด การจ่ายเงินจ่ายให้ใคร รายการใดบ้างและเป็นจำนวนเงินเท่าใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสองแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินและการพิสูจน์หลักฐาน การฟ้องเรียกค่าเสียหายต้องระบุสภาพแห่งข้อหาชัดเจน
โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 127 ในชั้นพิจารณาโจทก์ก็นำสืบว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวและได้ส่งสำเนาใบแทนโฉนดที่ดินต่อศาล จำเลยเพียงแต่ให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามที่โจทก์อ้าง ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็ไม่ได้นำสืบตามที่จำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์และไม่ได้นำสืบโต้แย้งการนำสืบของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 127จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ชอบด้วยกฎหมาย และการฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวก็คือการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นนั่นเอง ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 127 จึงเป็นการวินิจฉัยไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หาขัดต่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสำนวนไม่
ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหาย โจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ส่วนการถมถนนที่ใดหรือบริเวณใดการจ่ายเงินจ่ายให้ใคร รายการใดบ้างและเป็นจำนวนเงินเท่าใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว
ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหาย โจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ส่วนการถมถนนที่ใดหรือบริเวณใดการจ่ายเงินจ่ายให้ใคร รายการใดบ้างและเป็นจำนวนเงินเท่าใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยภารจำยอมโดยอาศัยข้อเท็จจริงและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แม้ไม่ได้ยกบทกฎหมายในคำฟ้อง
ในคดีแพ่งคู่ความไม่จำเป็นต้องยกบทกฎหมายขึ้นมากล่าวอ้างในคำฟ้องหรือคำให้การ เพียงแต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงก็พอแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายขึ้นมาปรับแก่คดีตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้ เมื่อคดีนี้โจทก์กล่าวไว้ในคำฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินที่ น. จัดสรร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องและฟังได้ว่าที่ดินพิพาท น. ซื้อมาเพื่อทำเป็นทางให้ผู้ซื้อที่ดินจากการจัดสรรใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ การที่ศาลล่างทั้งสองยกเอาบทกฎหมายคือ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 มาปรับกับข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความแล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลมีอำนาจวินิจฉัยตามบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นอ้างในคำฟ้อง หากข้อเท็จจริงสอดคล้อง
ในคดีแพ่งคู่ความไม่จำเป็นต้องยกบทกฎหมายขึ้นมากล่าวอ้างในคำฟ้องหรือคำให้การ เพียงแต่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงก็พอแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายขึ้นมาปรับแก่คดีตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้ คดีนี้โจทก์กล่าวไว้ในคำฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินที่ น. จัดสรร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องและฟังได้ว่า ที่ดินพิพาท น. ซื้อมาเพื่อทำเป็นทางให้ผู้ซื้อที่ดินจากการจัดสรรใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ การที่ศาลล่างทั้งสองยกเอาบทกฎหมายคือ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 มาปรับกับข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความแล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการพิพากษานอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพรากผู้เยาว์ต้องปรากฏชัด แม้มีการกระทำชำเราภายหลังก็ไม่ถือเป็นเหตุพราก
จำเลยมาพบผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินทางไปโรงเรียนก็เนื่องจากผู้เสียหายนัดจำเลยให้มาพบเพื่อให้จำเลยนำเสื้อมาให้ แต่จำเลยไม่ได้นำเสื้อมาให้ เมื่อผู้เสียหายบอกว่าจะต้องใช้เสื้อ จำเลยจึงพาผู้เสียหายไปที่ห้องเช่าของจำเลยเพื่อไปเอาเสื้อ โดยผู้เสียหายรออยู่ที่ปากซอย หลังจากผู้เสียหายได้เสื้อแล้วขณะนั้นเป็นเวลา 8.30 นาฬิกา ผู้เสียหายบอกจำเลยว่าไปโรงเรียนไม่ทันแล้วจะไปโรงเรียนเวลาเที่ยง จำเลยจึงชวนผู้เสียหายให้คอยที่ห้องเช่าของจำเลยก่อน นั่งอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงจำเลยบอกจะออกไปเอาหนังสือการ์ตูนข้างนอก ผู้เสียหายขอตามจำเลยไปด้วย ไปที่บ้านเพื่อนจำเลยประมาณ30 นาที จำเลยก็พาผู้เสียหายกลับไปที่ห้องเพื่อให้ผู้เสียหายไปโรงเรียนตอนเที่ยงตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร แม้ต่อมาจำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม
คดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง
คดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพรากผู้เยาว์ - การกระทำไม่ถึงองค์ประกอบความผิด
จำเลยมาพบผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินทางไปโรงเรียนก็เนื่องจากผู้เสียหายนัดจำเลยให้มาพบเพื่อให้จำเลยนำเสื้อมาให้ แต่จำเลยไม่ได้นำเสื้อมาให้ เมื่อผู้เสียหายบอกว่าจะต้องใช้เสื้อ จำเลยจึงพาผู้เสียหายไปที่ห้องเช่าของจำเลยเพื่อไปเอาเสื้อ โดยผู้เสียหายรออยู่ที่ปากซอย หลังจากผู้เสียหายได้เสื้อแล้วขณะนั้นเป็นเวลา 8.30 นาฬิกา ผู้เสียหายบอกจำเลยว่าไปโรงเรียนไม่ทันแล้วจะไปโรงเรียนเวลาเที่ยง จำเลยจึงชวนผู้เสียหายให้คอยที่ห้องเช่าของจำเลยก่อน นั่งอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงจำเลยบอกจะออกไปเอาหนังสือการ์ตูนข้างนอก ผู้เสียหายขอตามจำเลยไปด้วย ไปที่บ้านเพื่อนจำเลยประมาณ 30 นาที จำเลยก็พาผู้เสียหายกลับไปที่ห้องเพื่อให้ผู้เสียหายไปโรงเรียนตอนเที่ยง ตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร แม้ต่อมาจำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม
คดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง
คดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจารไม่พอฟัง แม้มีการกระทำชำเรา ศาลไม่อาจลงโทษฐานพรากผู้เยาว์ได้
การที่จำเลยมาพบผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายนัดให้จำเลยมาพบเพื่อให้จำเลยนำเสื้อมาให้ จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ห้องเช่าของจำเลยก็เพื่อธุระของผู้เสียหายเอง หลังจากได้เสื้อแล้วที่จำเลยให้ผู้เสียหายรออยู่ที่ห้องก็สืบเนื่องมาจากผู้เสียหายไปโรงเรียนไม่ทันซึ่งผู้เสียหายก็เต็มใจที่จะรออยู่ที่ห้องจำเลยเพื่อไปโรงเรียนเวลาเที่ยงตอนจำเลยไปเอาหนังสือการ์ตูนที่บ้านเพื่อนจำเลย ผู้เสียหายเป็นฝ่ายขอตามจำเลยไปด้วย จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายชักชวนให้ผู้เสียหายไปกับจำเลยการที่จำเลยพาผู้เสียหายกลับมาที่ห้องจำเลยอีกก็เพื่อให้ผู้เสียหายไปโรงเรียนตอนเที่ยงตามที่ผู้เสียหายบอกตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร แม้ต่อมาจำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายและจำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง
ความผิดฐานกระทำชำเรา ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษจำคุก 2 ปี เป็นการแก้ไขเฉพาะ โทษมิได้แก้บทกฎหมายด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษหนักขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ความผิดฐานกระทำชำเรา ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษจำคุก 2 ปี เป็นการแก้ไขเฉพาะ โทษมิได้แก้บทกฎหมายด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษหนักขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามลักทรัพย์: การงัดรถและเตรียมอุปกรณ์แสดงเจตนา
จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับในขณะที่กำลังก้มเงยอยู่ข้างประตูด้านคนขับรถกระบะคันที่เกิดเหตุ โดยมีลูกกุญแจ 2 ดอก กุญแจล็อกประตูรถกระบะอยู่ในกระเป๋าเสื้อจำเลย ส่วนประตูรถกระบะเปิดได้และพบประแจบล็อก3 ทาง กับไขควงวางอยู่ที่เบาะคนขับ ประตูรถด้านคนขับมีร่องรอยงัดแงะตรงช่องกุญแจส่วนกุญแจหายไป จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าพี่ชายให้มาเอารถแต่ลืมกุญแจจึงงัดรถเข้าไป ส่วนเงิน 1,000 บาท ที่จำเลยมีติดตัวอยู่นั้นเตรียมไว้เป็นค่าน้ำมันรถพฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยงัดประตูรถกระบะเข้าไปโดยมีไม้บรรทัดเหล็กไขควง ประแจบล็อก 3 ทาง กุญแจ 2 ดอก และไฟฉายเป็นอุปกรณ์ ถึงแม้กุญแจ 2 ดอกไม่มีเขี้ยวและไม่ปรากฏว่าใช้ไขสตาร์ทรถกระบะได้หรือไม่ก็ตาม แต่ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยแล้วว่าต้องการใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเป็นเครื่องมือเพื่อเอารถกระบะไปเมื่อจำเลยสามารถงัดประตูรถกระบะจนเปิดออก และงัดเอากุญแจล็อกประตูรถออกไปได้ ถือได้ว่าเป็นการลงมือเพื่อจะเอารถกระบะไปโดยทุจริตแล้ว เมื่อไม่สามารถเอารถกระบะไปได้จะด้วยเหตุเพราะยังไม่ได้ทำลายกุญแจล็อกเกียร์หรือเพราะมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบการกระทำความผิดของจำเลยเสียก่อนก็ดี การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นสัญญาว่าความและการถอนทนาย ความสามารถยกข้อกฎหมายใหม่ในชั้นอุทธรณ์ได้หากข้อเท็จจริงปรากฏหลังฟ้อง
จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีที่ว่าจ้างให้โจทก์เป็นทนายความได้ยื่นคำร้องขอถอนโจทก์จากการเป็นทนายความ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2539 แต่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2539 และยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2540 ซึ่งเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงที่จำเลยได้ถอนโจทก์จากการเป็นทนายความนั้นมีอยู่แล้วขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ดังนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอุทธรณ์โดยอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ แต่เป็นข้อที่โจทก์สามารถยกขึ้นมากล่าวตั้งแต่ในศาลชั้นต้นได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดระยะเวลาบังคับคดีในคดีล้มละลาย: นับจากวันถือเสมือนมีคำพิพากษา ไม่ใช่วันออกคำบังคับ
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของเจ้าหนี้มีหนังสือทวงหนี้ให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ เป็นการดำเนินการทวงหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 เมื่อลูกหนี้มิได้ปฏิเสธหนี้ที่ทวงถามภายในกำหนดเวลา 14 วัน ต้องถือว่าลูกหนี้เป็นหนี้กองทรัพย์สินของเจ้าหนี้ตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของเจ้าหนี้มีหนังสือแจ้งไปเป็นการเด็ดขาด โดยถึงที่สุดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2529 อันเป็นวันถัดจากวันครบกำหนดเวลาให้ปฏิเสธหนี้ ต้องถือเสมือนว่าลูกหนี้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2529 กรณีเช่นนี้ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับกำหนดเวลาในการบังคับคดีไว้โดยเฉพาะ ซึ่งมาตรา 153 กำหนดให้นำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 271 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ดังนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของเจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอบังคับคดีภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2529 อันถือเสมือนว่าเป็นวันมีคำพิพากษา มิใช่นับแต่วันที่ศาลออกคำบังคับ