คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เรวัตร อิศราภรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 476 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4728/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าบริการขนส่งสินค้าข้ามประเทศ: ข้อยกเว้น ป.พ.พ. มาตรา 193/34(1) และ 193/33(5)
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าการงานที่ได้ทำและค่าใช้จ่ายที่โจทก์ได้ออกทดรองแทนจำเลยไปสำหรับขนสินค้าไปส่งให้แก่ลูกค้าของจำเลยซึ่งอยู่ในต่างประเทศอันเป็นการเรียกค่าการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้นั้นเอง จึงอยู่ในข้อยกเว้นตามบทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ที่มีกำหนดอายุความสองปี แต่มีอายุความห้าปีตามมาตรา 193/33 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4708/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายเลือกตั้ง: การมอบหมายอำนาจ กกต.จังหวัด และการตีความประกาศ กกต.
จำเลยยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 24 กรุงเทพมหานคร เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้ง จำเลยซึ่งเป็นผู้สมัครแต่ไม่ได้รับเลือกมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายของผู้สมัคร โดยต้องทำตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติ และตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด โดยยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานครภายในกำหนด 90 วัน หลังจากวันประกาศผลการเลือกตั้ง คือวันที่ 23 เมษายน 2544 จำเลยอ้างว่า ไปยื่นเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2544 แต่เจ้าหนี้ที่ไม่รับเอกสารอ้างว่าจำเลยไม่ได้เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร จำเลยก็มิได้ดำเนินการแก้ไขหรือขอให้เจ้าหน้าที่รับเอกสารไว้ก่อนแล้วจะดำเนินการแก้ไขในภายหลัง แต่จำเลยกลับไปยื่นใหม่อีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2544 เจ้าหน้าที่ก็ไม่รับเช่นเดิมซึ่งจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งหรือให้เจ้าหน้าที่บันทึกเหตุผลที่ไม่รับเอกสารของจำเลยดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ไปดำเนินการยื่นเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งแล้ว การที่จำเลยไปยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2544 นั้น เมื่อนับจากวันที่ 23 เมษายน 2544 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ผู้สมัครต้องยื่นเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ก็เป็นการยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามกฎหมายไป 3 วัน แม้เจ้าหน้าที่ลงวันรับหนังสือไว้เก็เป็นการปฏิบัติตามระเบียบงานสารบรรณเท่านั้น หาใช่เป็นการผ่อนผันให้แก่จำเลยแต่อย่างใดไม่ และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานครปฏิเสธไม่รับเอกสารของจำเลย เพราะไม่เป็นไปตามกฎหมายและประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่ยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายที่สมุห์บัญชีเลือกตั้งจัดทำขึ้นและจำเลยได้รับรองความถูกต้องภายในกำหนด 90 วัน หลังจากประกาศผลการเลือกตั้งอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาฯ มาตรา 43 วรรคหนึ่ง และมาตรา 104 วรรคหนึ่ง
ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของสมุห์บัญชีเลือกตั้ง ข้อ 20 กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งในแบบแบ่งเขตแต่ละคนยื่นรายงานการรับจ่ายเงินและบัญชีรายรับและรายจ่ายที่สมุห์บัญชีเลือกตั้งจัดทำตามข้อ 19 รวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดภายใน 90 วันนับจากวันประกาศผลการเลือกตั้ง และลงนามโดยประธานกรรมการการเลือกตั้ง แม้ตามมาตรา 43 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาฯ จะบัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายที่สมุห์บัญชีเลือกตั้งจัดทำขึ้นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ตาม แต่ข้อความตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อ 20 ดังกล่าวพอแปลได้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมายให้คณะกรรมการการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทำการแทน จึงกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งยื่นต่อคณะกรรมการเลือกตั้งประจำจังหวัดได้ ดังนี้ ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อ 20 จึงหาได้ขัดต่อบทบัญญัติตามมาตรา 43 แต่อย่างใดไม่
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งฯ มาตรา 10 (2) ได้บัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ออกประกาศกำหนดการทั้งหลายอันจำเป็นแก่การปฏิบัติตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาฯ ส่วน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาฯ มาตรา 42 ได้บัญญัติให้ผู้สมัครแต่งตั้งบุคคลเป็นสมุห์บัญชีเลือกตั้งเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของผู้สมัคร โดยการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของสมุห์บัญชีเลือกตั้งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อพิจารณาประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของสมุห์บัญชีเลือกตั้งซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 10 (2) และ 42 แล้ว ข้อความในประกาศดังกล่าวเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายของสมุห์บัญชีเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่คณะกรรมการการเลือกตั้งอ้างมา ทั้งยังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเช่นนี้ ประกาศดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานประกอบกับพยานอื่นได้ แม้ประกาศดังกล่าวไม่ได้อ้างมาตรา 43 ไว้ด้วยก็ตาม แต่ตามข้อ 20 ของประกาศฉบับนี้ได้ระบุให้ผู้สมัครต้องยื่นรายงานการรับจ่ายเงินและบัญชีรายรับและรายจ่ายที่สมุห์บัญชีจัดทำรวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดภายใน 90 วัน นับจากวันประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งข้อความดังกล่าวมีเนื้อหาสาระทำนองเดียวกับมาตรา 43 ดังนี้ แม้ประกาศดังกล่าวจะไม่ได้อ้างมาตรา 43 ไว้ก็ตาม ก็หาได้ทำให้ประกาศดังกล่าวไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4702/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งยกเลิกการล้มละลายไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้เดิม เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับคดีได้
พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 136 บัญญัติว่า "คำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135 (1) หรือ (2) นั้นไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินแต่อย่างใด" เมื่อกฎหมายดังกล่าวมิได้ยกเว้นไว้ว่าหนี้ใดบ้างหลุดพ้นเพราะคำสั่งยกเลิกการล้มละลายจึงต้องแปลว่าหนี้สินทุกชนิดที่ลูกหนี้มีอยู่ก่อนฟ้องอย่างไรก็คงเป็นหนี้อยู่เช่นเดิมอย่างนั้น ดังนั้น แม้โจทก์มิได้นำหนี้ตามคำพิพากษาไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่จำเลยถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 91 ก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายแล้ว หนี้ของโจทก์ดังกล่าวย่อมกลับสภาพเป็นหนี้ที่สมบูรณ์อันทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4701/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในการอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ แม้มีคำสั่งงดบังคับคดีไว้ก่อน
จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้ผู้ร้องชำระเงินมัดจำค่าที่ดินแก่จำเลย แต่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีแพ่งซึ่งผู้ร้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเพราะเหตุเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นอีกคดีหนึ่งจะถึงที่สุด ศาลมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ตามขอ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 293 วรรคท้าย แต่คำสั่งดังกล่าวไม่มีผลผูกพันโจทก์ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยจึงมีสิทธิเข้าจัดการกับสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่มีต่อผู้ร้องดังกล่าวได้ตามมาตรา 310 ทวิ ประกอบด้วยมาตรา 311 แม้ผู้ร้องจะได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งซึ่งมีมูลมาจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรายเดียวกัน และสามารถนำหนี้ทั้งสองคดีมาหักกลบลบกันได้ โจทก์ก็ยังมีสิทธิขอให้อายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยได้เพราะมาตรา 311 วรรคสาม บัญญัติว่า คำสั่งอายัดนั้น อาจออกให้ได้ไม่ว่าหนี้ของบุคคลภายนอกนั้นจะมีข้อโต้แย้งหรือมีข้อจำกัดหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4527/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์การชำระหนี้: โจทก์ต้องมีหลักฐานแสดงการชำระหนี้โดยจำเลย มิเช่นนั้นข้ออ้างไม่มีน้ำหนัก
โจทก์นำสืบว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 จำนวน 2,000 บาท จำเลยนำสืบว่าไม่ได้ชำระ ภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์หรือไม่ ย่อมตกแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้กล่าวอ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดที่แสดงว่าจำเลยเป็นผู้โอนเงินดังกล่าวชำระหนี้แก่โจทก์ ข้ออ้างของโจทก์จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้ายในวันดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4493/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ที่เกินกำหนดระยะเวลา 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย โดยจำเลยยื่นอุทธรณ์วันที่ 20 กรกฎาคม 2548 และท้ายอุทธรณ์มีข้อความว่า รอฟังคำสั่งอยู่ แต่ไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในวันเดียวกันกับที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์นั้น จำเลยต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 แต่จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2548 เกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย โดยเห็นว่าจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่ง คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 6 ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคหนึ่ง คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่ให้เป็นที่สุดนั้น ไม่จำต้องคำนึงว่าในการมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีวินิจฉัยเฉพาะเนื้อหาอุทธรณ์เท่านั้น เพราะการที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์อาจมาจากสาเหตุอื่น โดยไม่ต้องวินิจฉัยเนื้อหาอุทธรณ์ว่าต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ก็ได้ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 6 จึงเป็นอันถังที่สุดตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งฎีกาคำสั่งของจำเลยมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยนั้นเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4268/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนภาระจำยอม แม้ดัดแปลงสภาพก็ยังต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา
ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 เปิดถนนภาระจำยอม และทำให้อยู่ในสภาพใช้ได้สะดวก เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาสร้างเสาไฟฟ้าพิพาทขึ้นเพื่อประโยชน์ในการใช้ถนนภาระจำยอมมาตั้งแต่แรก แต่มีสภาพเป็นเสารองรับน้ำหนักโครงหลังคาซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกอยู่บนถนนภาระจำยอมและจำเลยที่ 2 ต้องรื้อถอนออกไปทั้งหมดตามคำพิพากษา การที่จำเลยที่ 2 รื้อถอนเฉพาะโครงหลังคา ส่วนเสารองรับน้ำหนักมิได้รื้อถอนออกไปด้วยจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาลให้ถูกต้องครบถ้วน แม้จำเลยที่ 2 จะดัดแปลงเสาดังกล่าวให้มีสภาพเป็นเสาไฟฟ้าเพื่อประโยชน์ในการใช้ถนนภาระจำยอม และที่ตั้งของเสามิได้กีดขวางการใช้ถนนภาระจำยอม หรือไม่ทำให้เสื่อมความสะดวกในการใช้ถนนภาระจำยอมก็หาทำให้เสาดังกล่าวพ้นจากการถูกบังคับคดีไม่ โจทก์จึงขอให้บังคดีโดยให้รื้อถอนเสาไฟฟ้าพิพาทออกไปจากถนนภาระจำยอมตามคำพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4259/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินซื้อเพื่อขายต่อ โดยพิจารณาจากเจตนาและลักษณะการถือครอง
เมื่อได้ความว่าโจทก์จำเลยร่วมกันซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไรมาแบ่งกัน มิได้มีการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด วิธีการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมจึงต้องเป็นไปตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 1364 กำหนดไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4197/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องยื่นภายในกำหนด หากมีเหตุสุดวิสัยต้องแจ้งเหตุโดยละเอียดและระบุวันที่ทราบคำบังคับ
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 (เดิม) (ปัจจุบัน มาตรา 199 จัตวา, 207) คำขอให้พิจารณาใหม่ ให้ยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากาษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย ถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าว โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่ในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้าต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าพนักงานศาลส่งคำบังคับแก่จำเลยที่ 1 ด้วยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2540 ซึ่งการส่งคำบังคับมีผลใช้ได้วันที่ 22 ธันวาคม 2540 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 1 มีนาคม 2544 จึงเป็นการล่วงพ้นกำหนดเวลา 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาแก่จำเลยที่ 1 แล้ว แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่าจำเลยที่ 1 ถูกคนร้ายยิงเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2520 จนร่างกายพิการต้องหลบหนีไปอาศัยอยู่ตามวัดแถบภาคอีสานเป็นเวลาหลายปี จำเลยที่ 1 เพิ่งทราบเรื่องที่ถูกฟ้องและทราบว่าศาลออกคำบังคับแล้ว อันเป็นการอ้างเหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่อาจยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันส่งคำบังคับเพราะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้กล่าวมาในคำร้องว่าจำเลยที่ 1 ทราบคำบังคับตั้งแต่วันที่เท่าใด เพื่อให้ทราบว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อใด จึงไม่อาจเริ่มต้นนับกำหนด 15 วัน ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้นได้ ถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้าและเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้น คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4147/2550 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิโจทก์ร่วมในคดีชำเราเด็ก และการประเมินเจตนาการกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์
ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรก บัญญัติให้ผู้กระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนมีความผิดโดยไม่คำนึงถึงว่าเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ แต่หากเด็กหญิงนั้นยินยอมก็มิได้หมายความว่า เด็กหญิงนั้นมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย เมื่อเด็กหญิงถูกกระทำชำเรา แม้เด็กหญิงจะยินยอมก็เป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) โจทก์ร่วมในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีอำนาจจัดการแทนเด็กหญิง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (1) และมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 3 (2)
จำเลยโทรศัพท์นัดหมายให้ ส. พาเพื่อนไปขายบริการทางเพศแก่จำเลย ส. จึงชักชวนเด็กหญิงทั้งสามอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปกระทำการดังกล่าวแล้วจำเลยรับตัวเด็กหญิงทั้งสามไว้กระทำชำเราโดยเด็กหญิงทั้งสามยินยอมเป็นการล่วงอำนาจปกครองของโจทก์ร่วมที่ 2 ที่ 5 และที่ 3 โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร แต่การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการรับไว้หรือล่อไปซึ่งเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี โดยทุจริต เพราะจำเลยมิได้รับเด็กหญิงทั้งสามไว้เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องจากจำเลยมีเจตนาประสงค์จะกระทำชำเราเด็กหญิงทั้งสามเท่านั้น ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 312 ตรี วรรคสอง
of 48