คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วีระชาติ เอี่ยมประไพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 404 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6476/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีค่าน้ำประปา: การบังคับสิทธิเรียกร้องตามระยะเวลาการจดหน่วยน้ำประปา
โจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. การประปานครหลวง พ.ศ. 2510 ซึ่งตาม พ.ร.บ. การประปานครหลวง พ.ศ. 2510 มาตรา 6 บัญญัติว่า "ให้จัดตั้งการประปาขึ้นเรียกว่า "การประปานครหลวง" มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ (2) ผลิต จัดส่งและจำหน่ายน้ำประปาในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ? (3) ดำเนินธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับหรือเป็นประโยชน์แก่การประปา" จากบทบัญญัติดังกล่าว เห็นได้ว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายน้ำประปา ทั้งดำเนินธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการประปาด้วย ซึ่งคำว่า "ผู้ประกอบการค้า" ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) เป็นถ้อยคำที่เปลี่ยนแปลงจากถ้อยคำใน ป.พ.พ. มาตรา 165 (1) เดิม ที่ใช้คำว่า "พ่อค้า" ดังนั้น คำว่า "ผู้ประกอบการค้า" จึงมีความหมายกว้างกว่าคำว่า "พ่อค้า" แม้โจทก์จะไม่ใช่พ่อค้าแต่ก็ถือว่าเป็นผู้ประกอบการค้าตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) แล้ว เมื่อคดีนี้มีการจดหน่วยน้ำประปาหลายครั้ง โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าน้ำประปาได้ตั้งแต่วันที่ทำการจดหน่วยน้ำประปาในแต่ละครั้งตามที่ปรากฏใบเสร็จรับเงินแต่ละฉบับ แต่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าน้ำประปาอันเป็นการเรียกเอาค่าการงานที่ได้ทำเมื่อเกินกำหนด 2 ปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6438/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิรับเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา: ระยะเวลา 5 ปีในการเรียกรับเงินที่วางศาล มิได้นับจากวันที่ทราบ
เงินที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษานั้น ย่อมเป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินดังกล่าวจะต้องเรียกเอาภายใน 5 ปี นับแต่วันที่จำเลยนำเงินมาวางศาลอันเป็นวันที่โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเอาเงินนั้นได้เพราะคดีถึงที่สุดแล้ว หาใช่นับจากวันที่ที่โจทก์ได้รู้ว่ามีการวางเงินไม่ โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยได้นำเงินมาวางศาลเมื่อใดไม่ได้ เมื่อโจทก์มิได้เรียกเอาเงินดังกล่าวภายใน 5 ปี เงินจำนวนนี้จึงตกเป็นของแผ่นดิน และโจทก์เป็นอันสิ้นสิทธิที่จะขอรับไป แม้เงินจำนวนดังกล่าวยังคงเก็บรักษาไว้ที่ศาลชั้นต้นก็หาทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะขอรับเงินดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5001/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้อง: ศาลต้องแจ้งผลการส่งหมายข้ามเขตแก่จำเลยก่อนพิจารณาว่าทิ้งฟ้องหรือไม่
จำเลยทั้งห้ายื่นอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีในชั้นอุทธรณ์ เมื่อเจ้าหน้าที่ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้นำหมายนัด สำเนาอุทธรณ์ และสำเนาคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไปส่งให้โจทก์แต่ส่งไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รอจำเลยทั้งห้าแถลง โดยมิได้กำหนดระยะเวลาให้จำเลยทั้งห้านำส่งสำเนาอุทธรณ์หรือให้จำเลยทั้งห้าแถลงหากส่งไม่ได้ เมื่อกรณีเป็นหมายข้ามเขตซึ่งศาลเป็นผู้ส่งเอง และศาลชั้นต้นมิได้แจ้งผลการส่งหมายให้จำเลยทั้งห้าทราบจำเลยทั้งห้าย่อมไม่มีทางทราบถึงผลการส่งหมายดังกล่าว การที่จำเลยทั้งห้ามิได้ยื่นคำแถลงให้ดำเนินการต่อไป จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้าไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดอันจะเป็นการทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4556/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกร้องค่าเสียหายจากประกันภัยหลังรถยนต์สูญหาย และอำนาจศาลในการพิพากษาจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคารถยนต์พิพาท จำเลยทั้งสี่ให้การว่า รถยนต์พิพาทสูญหายไป เห็นว่าจำเลยทั้งสี่ไม่อาจคืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ ซึ่งหากจำเลยทั้งสี่ต้องชำระราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลยร่วม และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันที่จะต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ราคารถยนต์พิพาทให้โจทก์ ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเรียกค่าทดแทนสำหรับความเสียหายของรถยนต์พิพาทจากจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยทั้งสี่จึงขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) และเมื่อศาลชั้นต้นได้มีหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตามที่จำเลยทั้งสี่ขอดังกล่าวแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยร่วมต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยให้โจทก์ได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4348/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชอบ หากไม่วางค่าธรรมเนียมศาลพร้อมคำอุทธรณ์ แม้เป็นการอุทธรณ์คำสั่ง ไม่ใช่คำพิพากษา
ป.วิ.พ. มาตรา 229 ที่กำหนดให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้น มิได้ใช้บังคับเฉพาะกรณีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีของศาลชั้นต้น แม้คดีนี้จำเลยเพียงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นในชั้นขอพิจารณาใหม่ และมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เป็นสาระเนื้อหาในคำฟ้องโจทก์แต่เป็นการที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว ซึ่งอาจมีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นถูกเพิกถอนหากอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น กรณีจึงอยู่ภายใต้บังคับของ ป.วิ.พ. มาตรา 229 ที่ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที กรณีมิใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 ที่จะต้องให้ศาลสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งไม่รับคำคู่ความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ได้กำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติให้ถูกต้องเสียก่อนจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2841/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: มูลคดีเกิดที่ใดเมื่อบัตรเครดิตถูกรับที่ทำงานจำเลย
คำว่ามูลคดีหมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง ตามสำเนาใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตระบุว่าสถานที่รับบัตรและส่งใบเรียกเก็บเงินคือที่ทำงานของจำเลย ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มิใช่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ ดังนั้น การอนุมัติและการออกบัตรเครดิตโดยสำนักงานใหญ่ของโจทก์จึงเป็นเพียงขั้นตอนปฏิบัติของโจทก์เท่านั้น เมื่อจำเลยรับบัตรเครดิต ณ ที่ทำงานของจำเลยอันเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จำเลยจะสามารถนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้แทนการชำระค่าสินค้าค่าบริการ และหรือใช้ถอนเงินสดจากสำนักงานสาขาของโจทก์ หรือเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ จนเป็นเหตุพิพาทซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิและมูลหนี้ตามฟ้องหากปราศจากเหตุและขั้นตอนสุดท้ายดังกล่าวเสียแล้ว โจทก์จำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือสินเชื่อต่อกัน เช่นนี้ มูลคดีจึงมิได้เกิดในเขตอำนาจของศาลแขวงพระโขนง ที่ศาลแขวงพระโขนงสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2642/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาทรัพย์สินบังคับคดี: ราคาประเมินไม่ใช่ราคาที่แท้จริง, ผู้เข้าสู้ราคาสูงสุดกำหนดราคา
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดมานั้น เป็นเพียงการประมาณราคาตามความเห็นของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเปรียบเทียบกับราคาทรัพย์สินที่ใกล้เคียงหรือราคาประเมินของทางราชการ ราคาที่ประเมินนี้อาจไม่ตรงกับราคาที่แท้จริงก็ได้ คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 37,838,500 บาท ในขณะที่จำเลยอ้างว่าทรัพย์มีราคา 51,150,000 บาท ราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินกับราคาที่จำเลยอ้างจึงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และราคาที่ประเมินไว้ก็ไม่ใช่ราคาที่แท้จริง ไม่มีหลักเกณฑ์ใดผูกมัดว่าการขายทอดตลาดต้องเป็นไปตามราคาที่ประเมินไว้ ขึ้นอยู่กับผู้เข้าราคาว่าจะให้ราคาสูงสุดเพียงใด จึงถือไม่อาจร้องขอต่อศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์ที่ยึดใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1844/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชอบ หากไม่วางเงินค่าธรรมเนียมพร้อมอุทธรณ์ แม้โจทก์ได้รับเงินบังคับคดีบางส่วนแล้ว หนี้ยังไม่ครบ
จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยต้องนำค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ แม้จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ได้รับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีรวมเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจำเลยจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาไว้ด้วยแล้วแต่ปรากฏว่า เมื่อโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวแล้วหนี้โจทก์ยังคงเหลืออยู่ ดังนั้น จำเลยจะกล่าวอ้างว่าเงินที่โจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนได้รวมเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1844/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชอบ หากไม่วางเงินค่าธรรมเนียมพร้อมอุทธรณ์ แม้โจทก์ได้รับเงินบังคับคดีบางส่วนแล้ว
จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยต้องนำค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
โจทก์ได้รับเงินจำนวน 2,081,182.34 บาท จากเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วแต่ยังคงเหลือหนี้ที่ขาดอยู่อีก 1,342,867.90 บาท จำเลยจะอ้างว่าเงินที่โจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนได้รวมเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1714/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายนัดผ่านทนายความ แม้ทนายขอถอนตัวแต่ศาลยังไม่อนุญาต ถือว่าชอบแล้ว
การที่ ส. ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความนั้น ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งอนุญาต ทนายจำเลยจึงยังมีฐานะเป็นคู่ความอยู่ แม้หลังจากนั้น ส. ไม่ได้ติดต่อกับจำเลยอีก ก็ไม่ทำให้ ส. พ้นจากการเป็นทนายความของจำเลย เมื่อเจ้าพนักงานศาลนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปส่งให้ ส. โดยวิธีปิดหมาย จึงเป็นการส่งหมายนัดโดยชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคหนึ่ง ถือว่า ส. ทนายจำเลยทราบกำหนดนัดแล้ว แม้จะมีการส่งหมายนัดไปให้จำเลยจะมิชอบ ก็ไม่เป็นผลให้การส่งหมายนัดให้ทนายจำเลยไม่ชอบไปด้วย
of 41