พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9,202 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างเนื่องจากลักทรัพย์นายจ้าง: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม การพิจารณาคดีแรงงานต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยให้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ เป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นคดีแรงงานอันเป็นคดีแพ่งประเภทหนึ่ง แม้จำเลยจะให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ได้ลักทรัพย์ของจำเลยอันมีมูลความผิดอาญาอยู่ด้วย ก็มิใช่ข้ออ้างที่จะมีผลให้มีการพิจารณาลงโทษโจทก์ในการกระทำผิดอาญาเพียงแต่อ้างเพื่อปฏิเสธไม่ต้องรับผิดในคดีแรงงานเท่านั้น หาทำให้กลายเป็นคดีอาญาไปไม่ การพิจารณาคดีนี้จึงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 และ 227 มาใช้บังคับได้การที่ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงโดยวิธีการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 จึงชอบแล้ว
โจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยอันเป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(1) จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์
โจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยอันเป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(1) จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1557/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: ศาลแรงงานพิจารณาจากพยานหลักฐาน ไม่ใช่คดีอาญา
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ อันเป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นคดีแรงงานอันเป็นคดีแพ่งประเภทหนึ่ง แม้จำเลยจะให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ได้ลักทรัพย์ของจำเลยอันมีมูลความผิดอาญาอยู่ด้วยก็ตาม ก็มิใช่ข้ออ้างที่จะมีผลให้มีการพิจารณาลงโทษโจทก์ในการกระทำผิดอาญา เพียงแต่อ้างเพื่อปฏิเสธไม่ต้องรับผิดในคดีแรงงานเท่านั้น การให้การต่อสู้เช่นนี้หาทำให้คดีนี้กลับกลายเป็นคดีอาญาไปไม่ การพิจารณาคดีนี้จึงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ใน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ ประกอบ ป.วิ.พ. ในกรณีที่มิได้บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ เป็นอย่างอื่น จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 174 และ 227 อันเป็นวิธีพิจารณาคดีอาญามาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ การที่ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงโดยวิธีการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104 นั้น จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย: ศาลลดโทษจากฆ่าเป็นทำร้ายจนถึงแก่ความตาย
ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลถูกแทงระหว่างต่อสู้กับจำเลยและ ศ. ในซอยเกิดเหตุ โดย ศ. เพียงคนเดียวมีอาวุธมีด จึงเชื่อว่า ศ. เป็นคนแทงผู้ตาย ส่วนจำเลยซึ่งเข้าช่วย ศ. ร่วมชกต่อยผู้ตายและวิ่งไล่ตามผู้ตายไปกับ ศ. โดยไม่ได้ร่วมทำร้ายผู้ตายอย่างใดอีก ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธหรือมีสาเหตุโกรธเคืองร้ายแรงประการใดกับผู้ตายมาก่อนจนถึงกับจะต้องร่วมกับ ศ. ฆ่าผู้ตาย การที่ ศ. ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าจึงเป็นการกระทำของ ศ. แต่โดยลำพัง จำเลยคงเป็นเพียงแต่ร่วมกับ ศ. ทำร้ายผู้ตายเท่านั้น แต่การร่วมกันทำร้ายมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม ป.อ. มาตรา 288 แต่ความผิดดังกล่าวย่อมรวมความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก อยู่ด้วย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำร้องทุกข์ในคดีความผิดต่อส่วนตัวตาม พ.ร.บ.เช็ค ส่งผลให้สิทธิฟ้องระงับ
ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์ร่วมจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อโจทก์ร่วมถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1128-1129/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักษณะสัญญาจ้างแรงงาน vs. จ้างทำของ: สิทธิเรียกร้องของลูกจ้าง
จำเลยประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวจัดให้มีการท่องเที่ยวทางเรือสำราญ เมื่อมีลูกค้าจะลงท่องเที่ยวเรือสำราญจำเลยจะแจ้งโจทก์ทราบโจทก์มีสิทธิที่จะให้บริการหรือปฏิเสธที่จะไม่ให้บริการแก่ลูกค้าได้หากโจทก์รับให้บริการแก่ลูกค้าบนเรือสำราญจะได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน เมื่อเรือสำราญต้องเข้าฝั่งโจทก์จะหมดหน้าที่เป็นคราวไปการจ้างงานระหว่างโจทก์กับจำเลยมุ่งถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ ไม่ใช่การจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 แต่เป็นการจ้างทำของตามมาตรา 587โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมทำงาน เพราะเมื่อมีลูกค้าลงเรือสำราญจำเลยจะแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าถือเป็นวันทำงานปกติ เป็นการกำหนดวันทำงานในรอบสัปดาห์ไม่ใช่เป็นงานที่หมดหน้าที่เป็นคราว ๆ ไปและไม่ได้มุ่งถึงความสำเร็จของงาน อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ทำงานให้จำเลยโดยได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน ถือได้ว่าโจทก์ทำงานให้จำเลยเพื่อรับค่าจ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นการจ้างแรงงาน เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่างไปจากศาลแรงงานกลาง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงาน ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมทำงาน เพราะเมื่อมีลูกค้าลงเรือสำราญจำเลยจะแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าถือเป็นวันทำงานปกติ เป็นการกำหนดวันทำงานในรอบสัปดาห์ไม่ใช่เป็นงานที่หมดหน้าที่เป็นคราว ๆ ไปและไม่ได้มุ่งถึงความสำเร็จของงาน อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ทำงานให้จำเลยโดยได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน ถือได้ว่าโจทก์ทำงานให้จำเลยเพื่อรับค่าจ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นการจ้างแรงงาน เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่างไปจากศาลแรงงานกลาง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงาน ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามจำหน่ายยาเสพติด: การซื้อขายไม่สำเร็จบริบูรณ์ ถือเป็นความผิดฐานพยายาม
ขณะถูกจับกุมจำเลยเพียงแต่นำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปยังสถานที่นัดหมายเพื่อส่งให้ บ. ผู้ซื้อ โดยที่ยังมิได้ส่งมอบแต่อย่างใด การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางระหว่างจำเลยกับ บ. จึงยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการใช้มีดแทงบริเวณอวัยวะสำคัญ ศาลยืนโทษจำคุกตามเดิม
จำเลยและผู้ตายกอดปล้ำต่อสู้กัน จำเลยพลิกตัวขึ้นมานั่งคร่อมผู้ตายอยู่ด้านบน จึงย่อมสามารถใช้มีดแทงผู้ตายได้ถนัดและสามารถเลือกแทงได้ การที่จำเลยใช้มีดของกลางซึ่งเป็นมีดปลายแหลมขนาดใหญ่แทงไปที่บริเวณชายโครงขวาของผู้ตายจนเป็นบาดแผลฉกรรจ์ แสดงว่าจำเลยแทงโดยแรงถูกอวัยวะสำคัญ ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631-635/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการได้รับเงินชดเชยและเงินเพื่อตอบแทนความชอบฯ ของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เกษียณหรือลาออกก่อนกำหนด
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 พ้นจากตำแหน่งหน้าที่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2543 ตามโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดอันเป็นการเลิกสัญญาจ้างกันโดยความตกลงของทั้งสองฝ่าย โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 และจำเลยจึงมีสิทธิและหน้าที่ตามข้อตกลง ข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 มีสิทธิได้รับเงินชดเชย 6 เท่าของเงินเดือนเดือนสุดท้าย โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 จึงมีสิทธิได้รับเงินชดเชย 6 เท่าของเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายเท่านั้น ส่วนโจทก์ที่ 3 พ้นจากตำแหน่งหน้าที่เพราะเกษียณอายุตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2543 แต่มติคณะรัฐมนตรีและประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ที่กำหนดให้พนักงานได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2544 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ที่ 3 พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว จึงไม่อาจใช้บังคับแก่โจทก์ที่ 3 ได้ โจทก์ทั้งห้าจึงมีสิทธิได้รับเงินชดเชยและเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 6 เดือน หรือ 180 วัน เท่านั้น ไม่มีสิทธิได้รับจำนวนเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพิเศษมั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 เป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดตามมาตรา 216
องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216 ผู้มั่วสุมต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 โดยการมั่วสุมยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำการอันเป็นความผิดตามมาตรา 215 แต่หากต่อมาผู้นั้นกระทำการดังที่มาตรา 215บัญญัติไว้ต่อไป ก็จะมีความผิดทั้งตามมาตรา 215 และมาตรา 216 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 กับพวกรวมกัน 10 คน ชุมนุมปราศรัยด้วยความสงบ ไม่มีพฤติการณ์ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองแสดงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3และที่ 4 กับพวกมิได้มั่วสุมโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 215 แม้เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ก็ไม่มีความผิดตามมาตรา 216
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพิเศษในการมั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 และ 216
องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216 นั้น ผู้มั่วสุมต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 โดยการมั่วสุมนั้นยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำการอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 แต่หากผู้นั้นกระทำการดังที่มาตรา 215 บัญญัติไว้ ก็จะมีความผิดทั้งมาตรา 215 และมาตรา 216 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท การที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ชุมนุมปราศรัยด้วยความสงบ ไม่มีพฤติการณ์ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง แสดงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 กับพวกมิได้มั่วสุมโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 216 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216