คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมศักดิ์ เนตรมัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 841 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1571/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นสิทธิครอบครองที่ดินที่ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
ชั้นบังคับคดีในคดีก่อนเป็นคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้ในฐานะผู้ร้องยื่นคำร้องว่าไม่ใช่บริวาร โจทก์กับจำเลยย่อมอยู่ในฐานะเป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ทั้งคดีก่อนและคดีนี้ต่างมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเช่นเดียวกัน ซึ่งคดีก่อนศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้นการที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทอีก ในประเด็นเดียวกันย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1565/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังแผนที่พิพาทเป็นพยานหลักฐาน แม้ไม่ได้ระบุไว้ในบัญชีรายชื่อพยาน ศาลทำได้ตามประโยชน์แห่งความยุติธรรม
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาทนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคท้าย ซึ่งบทมาตราดังกล่าวนี้ศาลสามารถสั่งได้เองโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ แม้คู่ความจะมิได้ระบุพยานเพิ่มเติม ศาลก็สามารถรับฟังพยานหลักฐานที่มีการสืบเพิ่มเติมนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) ส่วนพยานหลักฐานนั้นจะมีน้ำหนักรับฟังได้เพียงใดเป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน หาใช่เรื่องนอกประเด็นนอกคำฟ้องไม่ แม้จำเลยและผู้ร้องสอดจะไม่ได้ลงชื่อรับรองแผนที่พิพาท แต่จำเลยและผู้ร้องสอดก็มิได้โต้แย้งว่าแผนที่ดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับระวางโฉนดที่ดินแต่อย่างไร ศาลจึงรับฟังแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินทำขึ้นดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1565/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แผนที่พิพาทที่ศาลสั่งทำเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นพยานได้ แม้ไม่ได้ระบุในบัญชีพยาน
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 26 ไร่ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง โดยตั้งราคาที่ดินเป็นเงิน 300,000 บาท ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คู่ความทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 19 ไร่ 3 งาน 69 ตารางวา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งมีที่ตั้งตามรูปแผนที่ครอบในระวางแผนที่ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดเฉพาะส่วนที่โจทก์นำชี้ตามเส้นสีแดงเนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน 69 ตารางวา ซึ่งคิดเป็นจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาทเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคท้าย ซึ่งศาลสามารถสั่งได้เองโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ แม้คู่ความจะมิได้ระบุพยานเพิ่มเติมศาลก็รับฟังพยานหลักฐานที่มีการสืบเพิ่มเติมนั้นได้ตามมาตรา 87 (2) ส่วนพยานหลักฐานนั้นจะมีน้ำหนักรับฟังได้เพียงใดเป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน มิใช่เรื่องนอกประเด็นนอกคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1538/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกลับจดทะเบียนบริษัทร้างเพื่อคุ้มครองสิทธิเจ้าหนี้ แม้มีสิทธิฟ้องผู้ชำระบัญชี
บริษัทซึ่งเป็นลูกหนี้ถูกนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครขีดชื่อออกจากทะเบียนเป็นบริษัทร้าง ทำให้ผู้ร้องซึ่งได้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากเจ้าหนี้ไม่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้รู้สึกว่าต้องเสียหายมิเป็นธรรมเพราะการที่บริษัทลูกหนี้ถูกขีดชื่อจากนายทะเบียน แม้ผู้ร้องจะมีสิทธิยื่นฟ้องกรรมการของบริษัทดังกล่าวในฐานะผู้ชำระบัญชีให้ชำระหนี้ของบริษัทได้ เพราะผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่ชำระสะสางการงานของบริษัทให้เสร็จไป กับจัดการใช้หนี้เงินและแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัทนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1250 ก็ตาม ก็หาเป็นการตัดสิทธิของเจ้าหนี้ของบริษัทที่รู้สึกว่าต้องเสียหายมิเป็นธรรมเพราะการที่บริษัทลูกหนี้ถูกขีดชื่อจากทะเบียน จะยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้บริษัทดังกล่าวกลับจดชื่อคืนเข้าสู่ทะเบียนเพื่อดำเนินการเรียกร้องหนี้สินจากบริษัทโดยตรงไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิพากษาตามจำนวนหนี้จริง แม้คำฟ้องระบุไม่ครบถ้วน สัญญาเช่าซื้อ
คดีนี้แม้โจทก์จะตั้งรูปคดีว่าโจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อเพียง 120,186 บาท แต่จุดประสงค์หลักของโจทก์ต้องการชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมด เพื่อให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ค้างชำระค่าเช่าซื้อจำนวน 185,186 บาท ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระที่แท้จริงดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เช่าซื้อให้โจทก์ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1117/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิเรียกร้องทางแพ่งต้องมีข้อตกลงร่วมกันระหว่างคู่สัญญา มิใช่เพียงการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว
โจทก์ที่ 2 มีหนังสือถึง ส. ผู้จัดการธนาคารจำเลย สาขาปักธงชัยว่า โจทก์ที่ 2 ขอรับผิดชอบสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 2 เพียงผู้เดียว ขอให้ผู้จัดการอย่าได้ลงโทษ ร. ถึงขั้นรุนแรง โจทก์ที่ 2 ไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญา เป็นเพียงคำรับรองว่าโจทก์ที่ 2 ไม่ติดใจเรียกร้องทางแพ่งและทางอาญาแก่จำเลย โดยจำเลยมิได้เข้าเป็นคู่สัญญาตกลงด้วยในอันที่จะระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1110/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ: ความไม่ลงรอยกัน, การไม่ปฏิบัติตามสัญญา, และความเสียหายต่อลูกค้า
สัญญาร่วมลงทุนและแบ่งผลประโยชน์กำหนดหน้าที่ของโจทก์ว่า โจทก์รับจะดูแลจัดการเกี่ยวกับการเงินบัญชี การขาย การติดต่อลูกค้า และกิจการอื่น ๆ ที่กี่ยวกับงานของโครงการจัดสรรที่ดินที่ดำเนินการอยู่ ส่วนหน้าที่ของจำเลยได้กำหนดไว้ว่า รับจะดูแลในการพัฒนาที่ดิน การขอรังวัด แบ่งแยก ออกโฉนดใหม่ ตลอดจนถึงงานด้านสาธารณูปโภค ด้านการขายและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับงานของโครงการ ตั้งแต่ลงทุนเป็นหุ้นส่วนกันมายังไม่ได้มีการสะสางบัญชีกันเลยว่าจะมีรายรับและรายจ่ายเพียงใด ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งสองก็ไม่ปรองดองกัน เหลือวิสัยที่ห้างหุ้นส่วนจะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1057 (3) หากปล่อยให้ห้างหุ้นส่วนดำรงคงอยู่ต่อไป ผู้เป็นหุ้นส่วนต่างก็มุ่งจะขายที่ดินส่วนที่เหลือและรับเงินจากลูกค้าของตนโดยไม่นำพาต่อหุ้นส่วนอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งจะเป็นผลเสียต่อหุ้นส่วนอีกฝ่ายหนึ่งและต่อลูกค้าอันจะเป็นมูลเหตุให้เกิดคดีฟ้องร้องกันต่อไปอีก จึงมีเหตุที่ศาลจะสั่งให้ห้างหุ้นส่วนเลิกกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 878/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่สมบูรณ์หากไม่ระบุมาตราที่ขอลงโทษ แม้บรรยายฟ้องครบถ้วน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้นำโฉนดที่ดินปลอมไปอ้างใช้แสดงต่อ ส. ผู้เสียหาย และ พ. โดยให้ผู้เสียหายยึดถือไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ไปจากผู้เสียหาย ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ ส. และ พ. ผู้อื่นหรือประชาชนอันเป็นการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและกำหนดโทษมาในคำฟ้องแล้ว แต่คำขอท้ายฟ้องโจทก์ ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. เฉพาะมาตรา 264 และมาตรา 266 มิได้ระบุมาตรา 268 มาด้วย จะถือว่าโจทก์ได้ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 หาได้ไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (6)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 832/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาล ต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำพิพากษา แม้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
บทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 229 ใช้บังคับแก่การอุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งในทุกกรณี หาได้ใช้บังคับเฉพาะการอุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งที่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดีเท่านั้นไม่ แม้เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ผู้อุทธรณ์ก็อยู่ในบังคับต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์เช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ของคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีซึ่งเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาเท่ากับขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและทำการสืบพยานจำเลยทั้งสามต่อไป การอุทธรณ์เช่นนี้ย่อมมีผลกระทบต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยตรง จำเลยที่ 3 จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางพร้อมกับอุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 มา ก็ไม่มีผลทำให้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายไปได้
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ย่อมจะต้องอยู่ในบังคับ ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ที่จะต้องคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 3 ทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกค่าสินไหมจากโรงแรมกรณีรถหาย: 6 เดือนนับจากผู้พักอาศัยเช็คเอาท์
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 โดยอาศัยมูลหนี้ที่ ต. ได้นำรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ไปจอดในบริเวณโรงแรมของจำเลยที่ 1 แล้วเข้าพักในโรงแรม ต่อมารถยนต์คันดังกล่าวหายไป จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดในความสูญหายของรถยนต์ที่ผู้พักอาศัยพามาจึงเป็นการฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามาตาม ป.พ.พ. มาตรา 674 ซึ่งการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้มีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันที่คนเดินทางหรือแขกอาศัยออกไปจากสถานที่นั้นตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 678 แม้โจทก์จะอ้างคำฟ้องว่าลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาและมีคำขอให้คืนรถยนต์แต่โจทก์ก็ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมเท่านั้น จึงไม่ใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิดที่มีอายุความ 1 ปี
of 85