พบผลลัพธ์ทั้งหมด 841 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7970/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดความรับผิดผู้รับประกันภัย, สัญญาประนีประนอม, การมอบอำนาจ, ความรับผิดของตัวแทน, การสูญหายของสินค้า
เมื่อผู้ส่งสินค้าทั้งห้ารายดังกล่าวติดต่อส่งสินค้ากับจำเลยทั้งสองมาเป็นเวลานาน ผู้ส่งสินค้าย่อมมีโอกาสตรวจดูเงื่อนไขข้อตกลงตามใบรับขนทางอากาศและทราบถึงเงื่อนไขข้อตกลงดังกล่าว และยังได้ความจากถ้อยคำของ ป. พยานจำเลยทั้งสองว่า พนักงานของจำเลยที่ 2 ได้อธิบายให้พนักงานของบริษัท อ. ทราบในหลายโอกาสว่าในใบรับขนทางอากาศด้านหลังมีข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งอยู่ ประกอบกับตามใบรับขนทางอากาศเอกสารหมาย จ.3 จ.7 จ.11 จ.15 และ จ.19 ในช่องหมายเลข 10 ซึ่งฝ่ายผู้ส่งสินค้าได้ลงชื่อไว้ในฐานะผู้ส่งสินค้ามีข้อความว่า ผู้ส่งสินค้าตกลงตามเงื่อนไขสัญญาที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของใบรับขนทางอากาศนี้ แสดงว่าผู้ส่งได้รับทราบและยอมตกลงตามเงื่อนไขข้อตกลงที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของใบรับขนทางอากาศดังกล่าว นอกจากนี้ตามใบรับขนส่งทางอากาศ เอกสารหมาย จ.3 ก็ปรากฏว่าบริษัท อ. ผู้ส่งตกลงเลือกส่งสินค้าแบบไม่แจ้งมูลค่าสินค้าเพื่อการขนส่ง โดยมีการแจ้งน้ำหนักสินค้า จึงมีการคิดค่าระวางตามน้ำหนักสินค้าที่แจ้งเท่านั้น ส่วนในการขนส่งสินค้าของผู้ส่งสินค้าอีก 4 รายที่เหลือก็ปรากฏตามใบรับขนทางอากาศเอกสารหมาย จ.7 จ.11 จ.15 และ จ.19 ว่าผู้ส่งตกลงเลือกส่งสินค้าแบบแจ้งมูลค่าเพื่อการขนส่ง ยิ่งทำให้น่าเชื่อว่าผู้ส่งสินค้าดังกล่าวทราบและยอมรับข้อจำกัดความรับผิดที่ระบุอยู่ด้านหลังใบรับขนทางอากาศดังกล่าว ดังนั้น จึงรับฟังได้ว่าผู้ส่งสินค้าทั้งห้ารายดังกล่าวได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้งในการจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งดังกล่าว
แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าผู้ส่งสินค้าทั้งห้ารายดังกล่าวได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่ง แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าสินค้าทั้ง 5 รายการ สูญหายไปเพราะการทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยทั้งสอง ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยทั้งสองปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์แต่อย่างใด เท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับในข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงรับฟังได้ว่าสินค้าทั้ง 5 รายการ สูญหายไปเพราะการทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยทั้งสองผู้ขนส่งตามฟ้อง ซึ่งตามเงื่อนไขด้านหลังใบรับขนทางอากาศ เอกสารหมาย ล.5 กรณีนี้จำเลยทั้งสองผู้ขนส่งไม่อาจนำข้อจำกัดความรับผิดมาเป็นประโยชน์แก่ตนได้
เมื่อบริษัท บ. และบริษัท ก. ผู้ส่งได้บอกราคาแห่งของในขณะที่ส่งมอบแก่จำเลยทั้งสองผู้ขนส่งว่ามีราคารายละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยทั้งสองย่อมต้องรับผิดและความรับผิดของจำเลยทั้งสองก็ย่อมจำกัดเพียงไม่เกินราคาที่บอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 620 ส่วนสินค้ารายผู้ส่ง คือ บริษัท อ. นั้น ตามใบรับขนทางอากาศสินค้ารายนื้เอกสารหมาย จ.3 ในช่องมูลค่าสำแดงเพื่อการขนส่งไม่ได้ระบุราคาสินค้าไว้ว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ แต่อย่างใด ฉะนั้น จึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจำกัดความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้ารายนี้เป็นเงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4,404 บาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 620 วรรคสอง ได้ แต่เรื่องนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้วินิจฉัยแล้วว่า ผู้ส่งสินค้าได้บอกถึงสภาพของสินค้าไว้ในขณะที่ส่งมอบให้จำเลยทั้งสองผู้ขนส่งแล้ว จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 620 วรรคหนึ่ง โดยในข้อนี้โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความสูญหายของสินค้าดังกล่าวแก่โจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่อาจนำข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าวมาใช้บังคับได้ดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามราคาสินค้า
แม้ตัวแทนทำการเกินอำนาจ แต่ทางปฏิบัติของตัวการย่อมทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทนเช่นนี้ ตัวการย่อมต้องรับผิดต่อจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 822 ประกอบมาตรา 821
แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าผู้ส่งสินค้าทั้งห้ารายดังกล่าวได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่ง แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าสินค้าทั้ง 5 รายการ สูญหายไปเพราะการทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยทั้งสอง ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยทั้งสองปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์แต่อย่างใด เท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับในข้อเท็จจริงดังกล่าว กรณีจึงรับฟังได้ว่าสินค้าทั้ง 5 รายการ สูญหายไปเพราะการทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยทั้งสองผู้ขนส่งตามฟ้อง ซึ่งตามเงื่อนไขด้านหลังใบรับขนทางอากาศ เอกสารหมาย ล.5 กรณีนี้จำเลยทั้งสองผู้ขนส่งไม่อาจนำข้อจำกัดความรับผิดมาเป็นประโยชน์แก่ตนได้
เมื่อบริษัท บ. และบริษัท ก. ผู้ส่งได้บอกราคาแห่งของในขณะที่ส่งมอบแก่จำเลยทั้งสองผู้ขนส่งว่ามีราคารายละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยทั้งสองย่อมต้องรับผิดและความรับผิดของจำเลยทั้งสองก็ย่อมจำกัดเพียงไม่เกินราคาที่บอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 620 ส่วนสินค้ารายผู้ส่ง คือ บริษัท อ. นั้น ตามใบรับขนทางอากาศสินค้ารายนื้เอกสารหมาย จ.3 ในช่องมูลค่าสำแดงเพื่อการขนส่งไม่ได้ระบุราคาสินค้าไว้ว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ แต่อย่างใด ฉะนั้น จึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจำกัดความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้ารายนี้เป็นเงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4,404 บาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 620 วรรคสอง ได้ แต่เรื่องนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้วินิจฉัยแล้วว่า ผู้ส่งสินค้าได้บอกถึงสภาพของสินค้าไว้ในขณะที่ส่งมอบให้จำเลยทั้งสองผู้ขนส่งแล้ว จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 620 วรรคหนึ่ง โดยในข้อนี้โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความสูญหายของสินค้าดังกล่าวแก่โจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่อาจนำข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าวมาใช้บังคับได้ดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามราคาสินค้า
แม้ตัวแทนทำการเกินอำนาจ แต่ทางปฏิบัติของตัวการย่อมทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทนเช่นนี้ ตัวการย่อมต้องรับผิดต่อจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 822 ประกอบมาตรา 821
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7924/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเฉลี่ยทรัพย์ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีเช่าซื้อ โดยแยกหนี้ค่าเช่าซื้อออกจากหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม
หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นหนี้ที่เกิดจากจำเลยค้างชำระหนี้ค่าเช่าซื้อต่อผู้ร้อง ส่วนการที่ผู้ร้องยึดรถบรรทุกจากจำเลยเป็นการที่ผู้ร้องใช้สิทธิในฐานะเป็นเจ้าของผู้ใช้เช่าซื้อยึดทรัพย์สินจากจำเลยในกรณีจำเลยผิดสัญญา ซึ่งถือว่าเป็นการเลิกสัญญาโดยปริยาย หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจึงเป็นหนี้ที่ผู้ร้องฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่จำเลยค้างชำระก่อนเลิกสัญญา ส่วนการที่ผู้ร้องยึดรถบรรทุกกลับคืนมาแล้วนำออกจำหน่ายหากมีความเสียหายเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวต่อไปในระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเลิกสัญญา หนี้ทั้งสองกรณีดังกล่าวจึงเป็นหนี้คนละส่วนกัน ไม่อาจนำมาหักกลบลบหนี้กันได้ เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่นๆ ของจำเลย ผู้ร้องจึงมีสิทธิเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7715/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักษณะบ่งเฉพาะเครื่องหมายการค้า: การพิสูจน์การจำหน่ายเผยแพร่และโฆษณาเพื่อแสดงความแพร่หลาย
คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นที่สุดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่งแห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 นั้น มีความหมายเพียงว่า ผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์ต่อเจ้าพนักงานอื่นของฝ่ายบริหารต่อไปอีกไม่ได้เท่านั้น หากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้อุทธรณ์ย่อมมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวได้ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
คำให้การที่ยกข้อต่อสู้เรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความในคดีนี้จำเป็นต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันที่รู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีด้วย แต่จำเลยไม่ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ อีกทั้งไม่ได้สืบพยานในเรื่องนี้ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง จึงเป็นกรณีต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225
เครื่องหมายการค้า ~ H2O+ ของโจทก์ได้มีการจำหน่ายเผยแพร่ โฆษณาจนแพร่หลายแล้วตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และโจทก์ได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ส่วนการพิจารณาว่าเครื่องหมายบริการ ~ H2O+ เป็นเครื่องหมายบริการที่มีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่ศาลย่อมต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 โดยไม่จำกัดอยู่ว่าจะต้องพิจารณาเฉพาะในประเด็นที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้วินิจฉัยไว้เท่านั้น คำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ว่าเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการคำว่า ~ H2O+ ของโจทก์เป็นเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการที่มีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ จึงชอบแล้ว
คำให้การที่ยกข้อต่อสู้เรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความในคดีนี้จำเป็นต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันที่รู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีด้วย แต่จำเลยไม่ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ อีกทั้งไม่ได้สืบพยานในเรื่องนี้ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง จึงเป็นกรณีต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225
เครื่องหมายการค้า ~ H2O+ ของโจทก์ได้มีการจำหน่ายเผยแพร่ โฆษณาจนแพร่หลายแล้วตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และโจทก์ได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ส่วนการพิจารณาว่าเครื่องหมายบริการ ~ H2O+ เป็นเครื่องหมายบริการที่มีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่ศาลย่อมต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 โดยไม่จำกัดอยู่ว่าจะต้องพิจารณาเฉพาะในประเด็นที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้วินิจฉัยไว้เท่านั้น คำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ว่าเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการคำว่า ~ H2O+ ของโจทก์เป็นเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการที่มีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7712/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาความผิดฐานแจ้งความเท็จและปลอมเอกสารราชการ โดยจำกัดอำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิจารณาคดีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง
แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 (1) แต่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่มีความผิด และให้ยกคำขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว จึงเท่ากับยกฟ้องความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ ความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในความผิดฐานนี้อีกต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีเจตนาในการกระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงขัดกับคำสารภาพของจำเลย แม้จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์ ก็ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีเจตนาในการกระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงขัดกับคำสารภาพของจำเลย แม้จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์ ก็ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7711/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลจำกัดในความผิดที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง และการฎีกาขัดกับคำรับสารภาพ
แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 ด้วย แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ จึงเท่ากับยกฟ้องความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในความผิดฐานนี้อีกต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิด จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงขัดกับคำรับสารภาพของจำเลย แม้จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์ ก็ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิด จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงขัดกับคำรับสารภาพของจำเลย แม้จำเลยยกขึ้นอุทธรณ์ ก็ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6988/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์คณะผู้พิพากษาไม่เป็นเอกฉันท์ในการพิพากษาคดีอาญา ต้องปฏิบัติตามหลักเสียงข้างน้อยคุ้มครองจำเลย
การที่ศาลชั้นต้นมีองค์คณะ 2 คน พิพากษาคดีโดยถือเอาความเห็นของผู้พิพากษาคนหนึ่งว่า จำเลยมีความผิดและลงโทษจำเลย ซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากเป็นคำพิพากษา และถือเอาความเห็นของผู้พิพากษาอีกคนว่าจำเลยไม่มีความผิดและควรยกฟ้องซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่าเป็นความเห็นแย้ง เป็นการขัดต่อบทบัญญัติ แห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 184 กรณีจึงต้องพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6657/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน่วยการขนส่งทางทะเล: การกำหนดความรับผิดของผู้ขนส่งตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล
สินค้าพิพาทบรรจุอยู่ในกล่องหรือลังรวม 231 กล่อง บรรจุรวมอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์เดียว แสดงว่าแต่ละกล่องที่บรรจุสินค้ามีสภาพสามารถทำการขนส่งไปตามลำพังได้ จึงถือว่าแต่ละกล่องที่บรรจุสินค้าพิพาทเป็นหนึ่งหน่วยการขนส่งตามคำนิยามในมาตรา 3 พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 ส่วนตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรจุสินค้าพิพาทดังกล่าวถือเป็นภาชนะขนส่ง เมื่อสินค้าได้รับความเสียหาย 31 กล่อง และมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้จำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งไว้เพียงหนึ่งหมื่นบาทต่อหนึ่งหน่วยการขนส่ง หรือกิโลกรัมละสามสิบบาทต่อน้ำหนักสุทธิแห่งของนั้นแล้วแต่เงินจำนวนใดจะมากกว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดเป็นเงินไม่เกิน 310,000 บาท ซึ่งมากกว่าจำนวนเงินที่คำนวณได้ตามน้ำหนักสุทธิแห่งสินค้านั้น เมื่อโจทก์ (ผู้รับประกันภัย) ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเป็นเงิน 188,631 บาท โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องจากจำเลยทั้งสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6600/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กองทุนหมู่บ้านมีอำนาจร้องทุกข์ ยักยอกทรัพย์โดยจำเลย การจับกุมและการฟ้องคดี
การที่จำเลยยักยอกเงินจัดสรรผลกำไรสุทธิที่ได้มาจากการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้าน กองทุนหมู่บ้าน ค. โดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านจึงเป็นผู้เสียหายในอันที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ โดยถือว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของกองทุนหมู่บ้าน ค. ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสมาชิกและจำเลย การร้องทุกข์ของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจึงเป็นการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6596/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการฉ้อโกงประชาชน ไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง
การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกร่วมกันใช้รถกระบะของกลางบรรทุกถังเรี่ยไรของกลางนำไปตั้งไว้ตามชุมชนในตำบลที่เกิดเหตุ เพื่อหลอกลวงประชาชนที่พบเห็นและใช้รถกระบะของกลางบรรทุกทรัพย์ที่ได้มาจากการหลอกลวงด้วยนั้น รถกระบะของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกใช้เดินทางไปมาในการกระทำความผิดเท่านั้น จึงไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงอันจะพึงริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6354/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขู่เข็ญด้วยอาวุธเพื่อชิงทรัพย์เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 339 วรรคสอง แม้ไม่มีการทำร้ายร่างกาย
การที่จำเลยใช้อาวุธมีดจี้ที่เอวด้านหลังของผู้เสียหาย เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ครบองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสองแล้ว หาจำต้องมีการประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายแต่อย่างใดไม่