คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมศักดิ์ เนตรมัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 841 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7567/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการบังคับคดีตามคำพิพากษา: บุคคลภายนอกไม่สามารถสวมสิทธิโจทก์ได้ แม้จะมีการโอนสิทธิโดยสุจริต
ผู้มีสิทธิบังคับคดีและผู้มีหน้าที่ต้องถูกบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 271 บัญญัติให้เป็นสิทธิและหน้าที่ของคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น ผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกที่อ้างว่าได้รับโอนสิทธิและหน้าที่ในหนี้ตามคำพิพากษาจากโจทก์ที่มีอยู่แก่จำเลย มิใช่คู่ความในคดีหรือเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะเป็นฝ่ายชนะคดี จึงไม่อาจที่จะเข้ามาสวมสิทธิโจทก์เพื่อดำเนินการอย่างใดเกี่ยวกับการบังคับคดีแก่จำเลยในคดีนี้ได้ ไม่ว่าผู้ร้องจะได้รับโอนสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ในหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ที่มีอยู่แก่จำเลยมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก่อนที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่จะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์เด็ดขาดหรือไม่ ผู้ร้องย่อมไม่อาจเข้าสวมสิทธิโจทก์ในการบังคับคดีตามคำพิพากษาเอาแก่จำเลยในคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7563/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความบัตรเครดิต: การรับสภาพหนี้และการผ่อนผันสิทธิเรียกร้อง
จำเลยนำบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดไปใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2541 และวันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 โจทก์ส่งใบแจ้งยอดบัญชีกำหนดให้ชำระเงินคืนโจทก์ภายในวันที่ 25 พฤษภาคม และวันที่ 2 มกราคม 2541 ตามลำดับเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่โจทก์กำหนด โจทก์ย่อมใช้บังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระได้เมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งยอดบัญชีและเริ่มนับอายุความแห่งสิทธินับแต่นั้นมา ต่อมาจำเลยชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2541 และวันที่ 6 ตุลาคม 2541 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) และมาตรา 193/15 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 จึงพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่เริ่มนับอายุความใหม่ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ แม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์แจ้งยอดบัญชีให้จำเลยชำระตามบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 ตามลำดับก็ตามแต่เมื่อหลังจากที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้แล้ว จำเลยไม่เคยใช้บัตรเครดิตของโจทก์และโจทก์ก็มิได้ออกเงินทดรองให้แก่สถานประกอบกิจการต่าง ๆ แทนจำเลยอีก ใบแจ้งยอดหนี้ที่โจทก์ส่งให้จำเลยแต่ละเดือนต่อมาล้วนเป็นการคิดบวกดอกเบี้ยที่จำเลยผิดนัดและเบี้ยปรับที่ชำระล่าช้าเข้ากับต้นเงินที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์เท่านั้น การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเมื่ออาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผ่อนผันไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยเอง มิใช่โจทก์ไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ อายุความคดีจึงหาได้เริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดตามใบแจ้งยอดหนี้ครั้งสุดท้ายโดยไม่ผ่อนผันให้แก่จำเลยอีกต่อไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7556/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกบริษัทประกันภัยเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อรับผิดตามสัญญาประกันภัยร่วมกับผู้เช่าซื้อ
รถยนต์ที่เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อและรถยนต์ที่เอาประกันภัยตามสัญญาประกันภัยเป็นรถยนต์คันเดียวกัน และสิทธิเรียกร้องตามสัญญาทั้งสองเกิดจากการสูญหายของรถยนต์คันเดียวกัน เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อซึ่งจำเลยที่ 1 เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยร่วมสูญหาย จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดี เพื่อให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประกันภัยร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) (ก) โดยโจทก์ไม่จำต้องฟ้องจำเลยร่วมเป็นจำเลยในคดีนี้และไม่จำต้องเป็นคู่สัญญาหรือมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยร่วมแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7556/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกร้องค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อและประกันภัย กรณีรถยนต์สูญหาย ศาลอนุญาตให้เรียกคู่สัญญาประกันภัยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้
รถยนต์ที่เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อและรถยนต์ที่เอาประกันภัยตามสัญญาประกันภัยเป็นรถยนต์คันเดียวกันและสิทธิเรียกร้องตามสัญญาทั้งสองเกิดจากการสูญหายของรถยนต์คันเดียวกัน เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อซึ่งจำเลยที่ 1 เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยร่วมสูญหาย จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดี เพื่อให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประกันภัยร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3)(ก) โดยโจทก์ไม่จำต้องฟ้องจำเลยร่วมเป็นจำเลยในคดีนี้ และไม่จำต้องเป็นคู่สัญญาหรือมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยร่วมแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7506/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการบังคับคดี: ผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีสิทธิร้องขอต่อศาลที่มีอำนาจในคดีที่เกี่ยวข้อง
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ผู้ที่ร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีต้องร้องขอให้คดีที่มีการบังคับคดีนั้น การที่โจทก์ร้องขอในคดีนี้ให้เพิกถอนการบังคับคดีของคดีหมายเลขแดงที่ 10188/2541 ของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว และบทบัญญัติดังกล่าวเปิดช่องให้ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีในคดีนั้นได้อยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคู่ความในคดีนั้นก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7499/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความทายาทผู้กู้ & ความรับผิดทายาทผู้ค้ำประกัน - กรณีหนี้มูลความแห่งคดีเดียวกัน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทของพันโท ช. รับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่พันโท ช. ค้ำประกันหนี้เงินกู้ของพันโท ป. ไว้แก่โจทก์ เมื่อความรับผิดของผู้ค้ำประกันที่ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้เท่านั้น ทั้งผู้ค้ำประกันย่อมจะหลุดพ้นจากความรับผิดในขณะเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไปไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 680 และมาตรา 698 ความรับผิดของผู้ค้ำประกันในหนี้ที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้กับหนี้ที่ลูกหนี้จะต้องชำระนั้น เห็นได้ว่าเป็นมูลความแห่งคดีเดียวกันจึงเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทของพันโท ป. ผู้กู้ยกอายุความเกี่ยวแก่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ และปรากฏว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์อันมีต่อพันโท ป. เจ้ามรดกขาดอายุความแล้วทำให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดแก่โจทก์ตามฟ้อง กรณีจึงอยู่ในบังคับแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 59 (1) เมื่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์สำหรับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ขาดอายุความ ศาลย่อมพิพากษาให้มีผลถึงความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ขาดนัดซึ่งจะต้องรับผิดในฐานะทายาทของพันโท ช. ผู้ค้ำประกันหนี้ของพันโท ป. แก่โจทก์ด้วยได้ แม้โจทก์นำคดีมาฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดภายหลังโจทก์ได้รู้ถึงความตายของพันโท ช. เจ้ามรดกเมื่อยังไม่พ้นกำหนดหนึ่งปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1755 วรรคสาม ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7497/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก่อนมีคำพิพากษา
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้โจทก์และผู้ร้องขัดทรัพย์นำเจ้าพนักงานที่ดิน ทำแผนที่วิวาท เสร็จแล้วให้ส่งแผนที่วิวาทพร้อมสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อพิจารณาต่อไปนั้นเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 หากโจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าว ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ เพื่อการใช้สิทธิฎีกาภายหลังเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาแล้วโจทก์ฎีกาคำสั่งดังกล่าวทันที จึงเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) ประกอบด้วย มาตรา 247 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ค่าขึ้นศาล: กำหนดเวลาและกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มขึ้น เป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะที่จะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 เมื่อจำเลยทั้งสามเห็นว่าอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวมิใช่อุทธรณ์ที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสามย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ตามนัยของ ป.วิ.พ. มาตรา 227 โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่ง และเมื่อจำเลยทั้งสามได้ใช้สิทธิดังกล่าวโดยยื่นอุทธรณ์ตามอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2545 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 นั้นแล้ว หากจำเลยทั้งสามประสงค์จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จำเลยทั้งสามก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 234 กล่าวคือ จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง และเมื่อปรากฏว่ามีกำหนดให้จำเลยทั้งสามมาทราบคำสั่งดังกล่าวในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นับแต่วันที่กำหนดไว้นั้นแล้ว การที่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์โดยตรงในวันที่ 12 มีนาคม 2545 จึงเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด เป็นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์คำสั่งฉบับดังกล่าวของจำเลยทั้งสามนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7461/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทายาทไม่มีสิทธิเรียกร้องสิทธิเช่าซื้อจากบุคคลภายนอกที่รับสิทธิแทนนาย อ.
โจทก์ฟ้องโดยอ้างสิทธิในฐานะทายาทโดยธรรมผู้รับมรดกของ อ. ว่า ที่ดินและอาคารพิพาทที่ อ. ทำสัญญาเช่าซื้อจากจำเลยเป็นทรัพย์มรดกของ อ. ซึ่งตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม โจทก์จึงชอบที่จะเรียกร้องสิทธิในฐานะทายาทโดยธรรมผู้รับมรดกของ อ. ดังกล่าวเอาจาก ม. บุคคลภายนอกผู้เข้ารับสิทธิการเช่าซื้อแทน อ. โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ดินและอาคารพิพาทให้แก่ทายาทโดยธรรมของ อ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7455/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีและการมอบอำนาจช่วง: การมอบอำนาจช่วงก่อนยื่นฟ้องมีผลสมบูรณ์ แม้การมอบอำนาจภายหลังมีข้อบกพร่อง
น. ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์และมีอำนาจแต่งตั้งตัวแทนช่วงกระทำการดังกล่าวได้ ขณะยื่นฟ้องคดี น. มอบอำนาจช่วงให้ ว. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย ดังนี้ ว. ผู้รับมอบอำนาจช่วงจึงมีอำนาจยื่นคำฟ้องแทนโจทก์โดยชอบ แม้ภายหลังเมื่อ ว. ลาออกจากบริษัทโจทก์แล้ว น. จะมอบอำนาจช่วงให้ ช. เป็นผู้ดำเนินคดีแทนและหนังสือมอบอำนาจช่วงฉบับหลังนี้ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ให้ถูกต้องครบถ้วนก็หามีผลกระทบไปถึงการฟ้องที่ ว. ได้ดำเนินการไปแล้วโดยชอบตามหนังสือมอบอำนาจช่วงฉบับแรกซึ่งได้ปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าโดยถูกต้องครบถ้วนแล้วแต่ประการใดไม่
of 85