คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 246

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,138 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5781/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย: สัญญาเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดถือเป็นโมฆะ แม้จำเลยจะยอมรับ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้จำนวน 84,000 บาท แต่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้จำนวนดังกล่าวเมื่อจำเลยให้การว่าเป็นหนี้โจทก์จำนวน 33,000 บาท โดยได้ความว่าแยกเป็นหนี้ต้นเงินจำนวน 10,000 บาท ส่วนที่เหลือ 23,000 บาท เป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน 10,000 บาทได้ ส่วนเงินอีก 23,000 บาท เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงตกเป็นโมฆะ แม้จำเลยจะให้การยอมรับจะชำระเงินจำนวนนี้ ก็บังคับให้ไม่ได้
เมื่อได้ความว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 มาตรา 3ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นปรับแก่คดีได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246, 247.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5241/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนองเหนือโฉนด: สิทธิจำนองย่อมผูกพันที่ดินแปลงเดิม แม้มีการเปลี่ยนมือโดยสุจริต
ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นคนละแปลงกับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 408 ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 408 ที่โจทก์เป็นผู้รับจำนองและนำยึดไว้การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 408 จึงเป็นการมิชอบ
ที่ดินพิพาทมีโฉนดของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3เลขที่ 408 ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับจำนองไว้โดยชอบในขณะที่มี น.ส.3เป็นหลักฐานโดยมีชื่อผู้จำนองเป็นเจ้าของ การจำนองยังไม่ระงับสิ้นไปโจทก์ยังคงมีสิทธิบังคับจำนองเอากับที่ดินทั้งสองแปลงได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 744 และ 702 วรรคสอง การที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในภายหลังแม้จะได้มาโดยสุจริตก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมเสียไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5241/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำนองย่อมมีผลผูกพัน แม้มีการซื้อขายที่ดินภายหลัง และผู้ซื้อได้มาโดยสุจริต
ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นคนละแปลงกับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 408 ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 408 ที่โจทก์เป็นผู้รับจำนองและนำยึดไว้การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 408 จึงเป็นการมิชอบ ที่ดินพิพาทมีโฉนดของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3เลขที่ 408 ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับจำนองไว้โดยชอบในขณะที่มี น.ส.3เป็นหลักฐานโดยมีชื่อผู้จำนองเป็นเจ้าของ การจำนองยังไม่ระงับสิ้นไปโจทก์ยังคงมีสิทธิบังคับจำนองเอากับที่ดินทั้งสองแปลงได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 744 และ 702 วรรคสอง การที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในภายหลังแม้จะได้มาโดยสุจริตก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมเสียไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5193/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมถึงข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
ฟ้องฎีกาถือว่าเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยมิได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำให้การ คำพิพากษาศาลชั้นต้น และคู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ เมื่ออ่านโดยตลอดแล้ว ไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยว่าอย่างไร จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าอย่างไร ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าอย่างไร ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่จำเลยยกขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้น เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ ฟ้องฎีกาของจำเลยจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172ประกอบด้วยมาตรา 246,247.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5193/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมถึงข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
ฟ้องฎีกาถือว่าเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยมิได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำให้การ คำพิพากษาศาลชั้นต้น และคู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ เมื่ออ่านโดยตลอดแล้ว ไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยว่าอย่างไร จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าอย่างไร ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าอย่างไร ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่จำเลยยกขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้น เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ ฟ้องฎีกาของจำเลยจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172ประกอบด้วยมาตรา 246, 247.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5006/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้, การรับสภาพหนี้, การชำระหนี้ทายาท, และผลของการทิ้งอุทธรณ์
ทนายความจะต้องรักษาผลประโยชน์ของลูกความและเอาใจใส่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลภายในกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง ทนายโจทก์อ้างว่าหลงลืมและเข้าใจผิดถึงสถานที่ที่จะนำส่งจึงไม่ได้นำส่งหมายเรียกและสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ย่อมไม่เป็นข้อแก้ตัวได้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 โดยถือว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทผู้สืบสิทธิสัญญาเช่าซื้อแทนป. ผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน และร้องขอให้เรียกป. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกของ ป. ให้ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ แม้โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ได้รู้ถึงการตายของ บ. ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ บ. ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถของ บ.ให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อโดยชำระภายในกำหนด 1 ปีนั้น ถือเป็นการรับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้นับแต่เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดลง การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ใช้รถและใช้ราคารถตามสัญญาเช่าซื้อ มีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164 การส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคานั้น เมื่อ บ. ซึ่งเป็นคู่สัญญาตาย ถือว่าจำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อสืบต่อมาจึงต้องรับผิดคืนรถที่เช่าซื้อหรือใช้ราคาแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5006/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสะดุดหยุด-รับสภาพหนี้-การชำระหนี้ทายาท-การฟ้องจำเลยร่วม-ค่าเสียหายจากการเช่าซื้อ
ทนายความจะต้องรักษาผลประโยชน์ของลูกความและเอาใจใส่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลภายในกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง ทนายโจทก์อ้างว่าหลงลืมและเข้าใจผิดถึงสถานที่ที่จะนำส่งจึงไม่ได้นำส่งหมายเรียกและสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ย่อมไม่เป็นข้อแก้ตัวได้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 โดยถือว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทผู้สืบสิทธิสัญญาเช่าซื้อแทนป. ผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน และร้องขอให้เรียกป. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกของ ป. ให้ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ แม้โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ได้รู้ถึงการตายของ บ. ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ บ. ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถของ บ.ให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อโดยชำระภายในกำหนด 1 ปีนั้น ถือเป็นการรับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้นับแต่เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดลง
การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ใช้รถและใช้ราคารถตามสัญญาเช่าซื้อ มีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164
การส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคานั้น เมื่อ บ. ซึ่งเป็นคู่สัญญาตาย ถือว่าจำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อสืบต่อมาจึงต้องรับผิดคืนรถที่เช่าซื้อหรือใช้ราคาแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4723/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การที่ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยประเด็นราคาทรัพย์สิน เนื่องจากไม่ได้มีการขอแก้ไขราคาในชั้นอุทธรณ์และฎีกา
ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 แม้ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 100,000 บาทเป็นการไม่ถูกต้อง แต่จำเลยที่ 2 ไม่มีคำขอให้ศาลฎีกาแก้ไขราคาให้ ในชั้นอุทธรณ์โจทก์และจำเลยที่ 2 ก็ได้ อุทธรณ์ในลักษณะดังกล่าวโดยไม่มีคำขอบังคับเช่นเดียวกัน ศาลอุทธรณ์จึงไม่ได้วินิจฉัยให้ ดังนี้ ถือว่าฎีกาของทั้งโจทก์และจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับราคาทรัพย์เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ และฎีกาของจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีคำขอบังคับ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4723/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การที่ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยประเด็นราคาทรัพย์สินเนื่องจากมิได้มีการขอแก้ไขราคาในชั้นอุทธรณ์
ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 แม้ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 100,000 บาทเป็นการไม่ถูกต้อง แต่จำเลยที่ 2 ไม่มีคำขอให้ศาลฎีกาแก้ไขราคาให้ ในชั้นอุทธรณ์โจทก์และจำเลยที่ 2 ก็ได้ อุทธรณ์ในลักษณะดังกล่าวโดยไม่มีคำขอบังคับเช่นเดียวกัน ศาลอุทธรณ์จึงไม่ได้วินิจฉัยให้ ดังนี้ ถือว่าฎีกาของทั้งโจทก์และจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับราคาทรัพย์เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ และฎีกาของจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีคำขอบังคับ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3824/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนชำระหนี้แทน, สิทธิเรียกร้องเงินทดรอง, ตัวการต้องรับผิดชอบ
จำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ ได้ออกเงินทดรองค่าเช่าซื้อที่ดินและบ้านพิพาทไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็น เพราะมิฉะนั้นผู้ให้เช่าซื้อจะไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้ จำเลยจึงมีสิทธิเรียกเอาเงินจำนวนนี้และดอกเบี้ยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816 กรณีเช่นนี้แม้จำเลยมิได้ฟ้องเรียกร้องมา แต่โจทก์เป็นตัวการย่อมต้องรับผิดต่อจำเลยรวมทั้งดอกเบี้ยตามบทบัญญัติข้างต้น ทั้งกรณีก็เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งหมด แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่งเพราะจำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนแทน โจทก์จึงมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อนั้นให้แก่จำเลย
of 414