คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 246

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,138 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกาให้คู่ความ
จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาในวันที่ 5 เมษายน 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 7 เมษายน 2532 และให้จำเลยที่ 1 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกาแม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ลงชื่อรับทราบคำสั่งของศาลในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก็ตาม แต่เมื่อในคำฟ้องฎีกามีข้อความบันทึกให้ผู้ฎีกามาทราบคำสั่งของศาลในวันที่ 10 เมษายน 2532 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว และทนายจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อรับทราบไว้ตอนท้ายข้อความดังกล่าว กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งของศาลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2532 แล้ว การที่จำเลยที่ 1 มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกาให้คู่ความ
จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาในวันที่ 5 เมษายน 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 7 เมษายน 2532 และให้จำเลยที่ 1 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกาแม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ลงชื่อรับทราบคำสั่งของศาลในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก็ตาม แต่เมื่อในคำฟ้องฎีกามีข้อความบันทึกให้ผู้ฎีกามาทราบคำสั่งของศาลในวันที่ 10 เมษายน 2532 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว และทนายจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อรับทราบไว้ตอนท้ายข้อความดังกล่าว กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งของศาลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2532 แล้ว การที่จำเลยที่ 1 มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1658/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นนอกคำขอ และประเด็นที่ไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ แม้โจทก์ไม่ฎีกา
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ ไม่ได้ตั้งประเด็นว่าที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 309 เป็นสินสมรสหรือไม่ด้วย การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 309 เป็นสินสมรส จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสนั้น จำเลยไม่อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าที่พิพาทเป็นสินสมรส การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นการพิพากษาประเด็นเป็นการไม่ชอบ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์จะไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ใน 5 วัน หากส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงใน 7 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ เมื่อโจทก์มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ในกำหนดตามคำสั่งศาล จึงต้องถือว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2).(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของลูกจ้างต่อความเสียหายจากทุจริตของพนักงานอื่น และการหักกลบลบหนี้ในคดีแรงงาน
ในการปิดบัญชีเงินสดของแต่ละวัน โจทก์ตรวจแต่บัญชีเงินสดมิได้ตรวจตราไปรษณียากรคงเหลือ ทะเบียน กับสมุดแรกรับตราไปรษณียากรและวิมัยบัตรตามหน้าที่ เป็นเหตุให้พนักงานเงินทุจริตนำไปรษณียากรและเงินฝากส่งไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์รายเดือนไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยผู้เป็นนายจ้างโดยตรงฐานผิดสัญญาจ้างและฐานกระทำละเมิดต่อจำเลยในฐานลูกหนี้ร่วมกับพนักงานเงิน โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเกษียณอายุ โดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จ ค่าชดเชย และเงินโบนัสแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินของจำเลยทุจริตทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลย ซึ่งเมื่อหักแล้วโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกจำนวนหนึ่ง จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าว เช่นนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์กระทำผิดสัญญาจ้างและกระทำละเมิดต่อจำเลย จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมแล้ว ทั้งจำเลยได้บรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างไร จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไร เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วส่วนข้อที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับอย่างไรฉบับที่เท่าใดนั้น เป็นเรื่องที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่า การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินทุจริตนำเงินของจำเลยไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน 397,090.50 บาท และโจทก์ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนให้แก่จำเลยด้วย แม้ในฟ้องแย้งจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ใช้เพียง 36,130.15 บาทก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าสามารถนำสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดมาหักกับสิทธิเรียกร้องในเงินตามฟ้องของโจทก์ได้ จึงต้องถือว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจำนวนทั้งหมดอยู่เช่นเดิม เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องรวม 375,257.14 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษา จึงให้หักหนี้กันเสียโดยให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป โจทก์จึงต้องชำระเงินให้จำเลยอีก21,833.36 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย แต่เนื่องจากจำเลยมิได้อุทธรณ์จึงให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแย้งตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของลูกจ้างต่อความเสียหายจากการทุจริตของพนักงานอื่น และการหักกลบลบหนี้จากค่าจ้าง
โจทก์มีหน้าที่ควบคุมดูแล การปฏิบัติงานของพนักงานเงินพนักงานบัญชี ในการปิดบัญชีแต่ละวัน โจทก์มีหน้าที่ตรวจ นับเงินสดตรา ไปรษณียากร อากรแสตมป์ ตั๋วแลกเงินและวิมัยบัตร ให้ตรงกับยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินสดแต่ในช่วงวันที่ 4 กรกฎาคม 2529ถึง วันที่ 7 พฤศจิกายน 2529 โจทก์ตรวจ เฉพาะ บัญชีเงินสด ไม่ได้ตรวจ ตราไปรษณียากรคงเหลือแต่ละวัน ทะเบียนคุมเงินตราไปรษณียากรสมุด แรกรับตราไปรษณียากรและวิมัยบัตร เป็นเหตุให้ ส.พนักงานเงินทุจริตไปรษณียากรกับเงินฝากส่งไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุ ไปรษณีย์รายเดือน นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์จึงต้อง รับผิดต่อ จำเลยโดยตรงฐาน ผิดสัญญาจ้างแรงงานและฐาน กระทำ ละเมิดต่อ จำเลยโดย ร่วมรับผิดกับ ส. และ อ. พนักงานบัญชีอย่างลูกหนี้ร่วม โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากอายุเกิน 60ปีบริบูรณ์ ขอให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จ ค่าชดเชย และเงินโบนัสจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ละเลยไม่ ปฏิบัติตาม ระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินของจำเลยทุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงขอใช้ สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลย เมื่อหักแล้วโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกจำนวนหนึ่งจำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่ง เกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์กระทำผิดสัญญาจ้างและกระทำละเมิดต่อ จำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายจึงเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งจำเลยได้ บรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างไร จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วส่วนข้อที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับอย่างไรฉบับที่เท่าใด เป็นเรื่องที่จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลย และในชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยด้วย หนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยเรียกจากโจทก์จึงยังมีข้อต่อสู้ ดังนั้นจำเลยจะขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จำเลยก็ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์ และศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่าการที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้ ส. พนักงานเงินทุจริต นำเงินของจำเลยไปใช้ เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน 397,090.50 บาท และโจทก์ต้อง ร่วมรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลย แม้ในฟ้องแย้งของจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ใช้ เงินเพียง 36,130.15 บาท ก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าสามารถนำสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดดังกล่าวมาหักกับสิทธิเรียกร้องในเงินตามฟ้องของโจทก์ได้ จึงต้อง ถือว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนทั้งหมดเมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องเป็นเงินรวม 375,257.14 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 360,960.35 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ในขณะเดียวกันโจทก์ต้อง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยเป็นเงิน 397,090.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จดังนั้น เพื่อความสะดวกในการบังคับตาม คำพิพากษาจึงเห็นสมควรให้หักหนี้กันเสียโดย ให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ปรากฏว่าเมื่อหักหนี้แล้วโจทก์ต้อง ชำระเงินให้จำเลยอีก 21,833.36 บาทพร้อมดอกเบี้ย ดังกล่าวแต่ เนื่องจากจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ จึงให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตาม คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4603/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องอุทธรณ์จากค่าขึ้นศาลที่ไม่ครบถ้วนและการรับฟ้องเฉพาะส่วน
การที่โจทก์เพิกเฉยไม่นำคำขึ้นศาลที่ยังขาดในส่วนของดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด
เวลาที่ศาลชั้นต้นสั่ง ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 ศาลย่อมไม่รับฟัองอุทธรณ์ในเรื่องดอกเบี้ยแต่ต้องรับฟ้องอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับทุนทรัพย์ในต้นเงินที่เสียค่าธรรมเนียมถูกต้องแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4603/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องอุทธรณ์จากค่าขึ้นศาลค้างชำระ และการรับฟ้องอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่ชำระแล้ว
การที่โจทก์เพิกเฉยไม่นำค่าขึ้นศาลที่ยังขาดในส่วนของดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นสั่งถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246ศาลย่อมไม่รับฟ้องอุทธรณ์ในเรื่องดอกเบี้ย แต่ต้องรับฟ้องอุทธรณ์เฉพาะที่เกี่ยวกับทุนทรัพย์ในต้นเงินที่เสียค่าธรรมเนียมถูกต้องแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4360/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกเฉยต่อการนำส่งสำเนาฎีกาและการจำหน่ายคดี การไต่สวนเหตุผลและการอุทธรณ์คำสั่ง
การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาไต่สวนถึงเหตุที่โจทก์มิได้จงใจไม่นำส่งสำเนาฎีกาและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาแล้วสั่งยกคำร้องนั้น หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามลำดับชั้นศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ถูกต้อง เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าการยื่นคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการดำเนินคดีที่ต่อเนื่องกับคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกา ประกอบกับคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิจารณาพิพากษาใหม่อีก ศาลฎีกาย่อมพิจารณาพิพากษาคดีไปได้
โจทก์ยื่นฎีกาแต่โจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกามีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาที่ได้สั่งไปนั้นถึงที่สุด โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งไต่สวนและสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลฎีกาที่สั่งจำหน่ายคดีซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4360/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับชั้นศาล & คำร้องต่อเนื่อง: ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณา แม้คำสั่งจำหน่ายคดีถึงที่สุด
การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำร้อง ของ โจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาไต่สวนถึงเหตุที่โจทก์มิได้จงใจไม่นำส่งสำเนาฎีกาและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาแล้วสั่งยกคำร้องนั้น หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามลำดับชั้นศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาและพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ถูกต้อง เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าการยื่นคำร้อง ของ โจทก์ดังกล่าวเป็นการดำเนินคดีที่ต่อเนื่องกับคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกา ประกอบกับคดีมีหลักฐานพอที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่อีก ศาลฎีกาย่อมพิจารณาพิพากษาคดีไปได้ โจทก์ยื่นฎีกาแต่โจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกามีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลฎีกา คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลฎีกาที่ได้สั่งไปนั้นถึงที่สุด โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งไต่สวนและสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลฎีกาที่สั่งจำหน่ายคดีซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้
of 414