คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 246

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,138 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถ, การหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง, และความรับผิดทางละเมิดร่วมกัน
ถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง จำเลยที่ 2 เห็นก้อนหินขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 ซม. ขวางถนนอยู่ในช่องทางเดินรถของตน จำเลยที่ 2 ได้ขับรถหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของโจทก์เพียงเล็กน้อย คนขับรถของโจทก์เห็นรถที่จำเลยที่ 2 ขับหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของตน แต่คนขับรถของโจทก์มิได้ชะลอความเร็วลงหรือขับรถหลบไปทางซ้ายมือซึ่งผิวจราจรหรือไหล่ถนนตรงนั้นกว้างพอที่จะแล่นหลบไปได้โดยไม่ตกถนนและรถทั้งสองคันก็จะไม่ชนกัน ดังนี้ ถือได้ว่าความเสียหายที่เกิดจากรถยนต์สองคันชนกันนั้นเกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยและ คนขับรถของโจทก์ละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยควรรับผิดเพื่อความเสียหายสองในสามส่วนของความเสียหายที่โจทก์ได้รับ.
คำวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้นศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ฎีกาด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถและการละเลยไม่บำบัดปัดป้องความเสียหาย ผู้ขับขี่มีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวัง
ถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรงจำเลยที่2เห็นก้อนหินขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ12ซม.ขวางถนนอยู่ในช่องทางเดินรถของตนจำเลยที่2ได้ขับรถหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของโจทก์เพียงเล็กน้อย.คนขับรถของโจทก์เห็นรถที่จำเลยที่2ขับหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของตนแต่คนขับรถของโจทก์มิได้ชะลอความเร็วลงหรือขับรถหลบไปทางซ้ายมือซึ่งผิวจราจรหรือไหล่ถนนตรงนั้นกว้างพอที่จะแล่นหลบไปได้โดยไม่ตกถนนและรถทั้งสองคันก็จะไม่ชนกันดังนี้ถือได้ว่าความเสียหายที่เกิดจากรถยนต์สองคันชนกันนั้นเกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยที่2ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยและคนขับรถของโจทก์ละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยควรรับผิดเพื่อความเสียหายสองในสามส่วนของความเสียหายที่โจทก์ได้รับ. คำวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้นศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่2ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ฎีกาด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งอุทธรณ์และการจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาอุทธรณ์
การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และกำหนดเวลาให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์แต่จำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาที่กำหนดนั้นถือว่าจำเลยทิ้งอุทธรณ์ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ตามกำหนดเวลา ศาลมีอำนาจจำหน่ายคดีได้
การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และกำหนดเวลาให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์แต่จำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาที่กำหนดนั้นถือว่าจำเลยทิ้งอุทธรณ์ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดี.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3322/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างเจาะบ่อน้ำบาดาลเลิกกัน ต้องชดใช้ค่าแห่งงาน แม้สัญญาจะระบุคืนเงินทั้งหมด
โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยเจาะบ่อน้ำบาดาล โดยมีข้อสัญญาว่าถ้าผู้รับจ้าง (จำเลย) ทำการเจาะบ่อไม่ได้ปริมาณน้ำถึง 50 แกลลอน ต่อหนึ่งนาทีสัญญานี้เป็นอันยกเลิก ผู้รับจ้างจะคืนเงิน (ค่าจ้าง) ที่รับมาทั้งหมด จำเลยได้เจาะบ่อน้ำบาดาลตามสัญญาให้โจทก์แล้ว แต่ไม่ได้ปริมาณน้ำตามสัญญา ดังนั้นสัญญาจึงเลิกกันตามเงื่อนไขข้างต้น โจทก์จำเลยกลับคืนไปสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 เมื่อจำเลยทำงานให้ตามที่โจทก์จ้างไปแล้วแต่ได้น้ำไม่ครบปริมาณตามสัญญา โจทก์จึงต้องใช้เงินค่าแห่งงานที่จำเลยได้กระทำไปให้จำเลย แม้ในสัญญาจะระบุว่าจำเลยจะต้องคืนเงินที่รับไปจากโจทก์ทั้งหมด ก็หาได้หมายถึงว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องใช้ค่าแห่งงานให้จำเลยไม่ ซึ่งค่าแห่งงานนี้ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามสมควร
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเจาะบ่อน้ำบาดาล ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและเงินทดรองที่เบิกไปแล้วพร้อมทั้งค่าปรับแก่โจทก์ จำเลยให้การปฏิเสธความรับผิดและฟ้องแย้งเรียกค่าจ้างที่ค้างชำระตามสัญญาดังกล่าวจากโจทก์ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่า จำเลยได้เจาะบ่อน้ำบาดาลให้โจทก์แล้วแต่ไม่ได้ปริมาณน้ำตามสัญญาทำให้สัญญาเลิกกัน ศาลย่อมจักให้โจทก์ใช้ค่าแห่งงานที่ทำแล้วนั้นแก่จำเลยได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3322/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างเจาะบ่อน้ำบาดาลเลิกกัน ต้องใช้ค่าแห่งงาน แม้สัญญาจะระบุคืนเงินทั้งหมด
โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยเจาะบ่อน้ำบาดาล โดยมีข้อสัญญาว่าถ้าผู้รับจ้าง (จำเลย) ทำการเจาะบ่อไม่ได้ปริมาณน้ำถึง 50 แกลลอน ต่อหนึ่งนาทีสัญญานี้เป็นอันยกเลิกผู้รับจ้างจะคืนเงิน (ค่าจ้าง) ที่รับมาทั้งหมดจำเลยได้เจาะบ่อน้ำบาดาลตามสัญญาให้โจทก์แล้ว แต่ไม่ได้ปริมาณน้ำตามสัญญาดังนั้นสัญญาจึงเลิกกันตามเงื่อนไขข้างต้น โจทก์จำเลยกลับคืนไปสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391เมื่อจำเลยทำงานให้ตามที่โจทก์จ้างไปแล้วแต่ได้น้ำไม่ครบปริมาณตามสัญญา โจทก์จึงต้องใช้เงินค่าแห่งงานที่จำเลยได้กระทำไปให้จำเลย แม้ในสัญญาจะระบุว่าจำเลยจะต้องคืนเงินที่รับไปจากโจทก์ทั้งหมด ก็หาได้หมายถึงว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องใช้ค่าแห่งงานให้จำเลยไม่ ซึ่งค่าแห่งงานนี้ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามสมควร โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเจาะบ่อน้ำบาดาลขอให้บังคับจำเลย คืนเงินมัดจำและเงินทดรองที่เบิกไปแล้วพร้อมทั้งค่าปรับแก่โจทก์ จำเลยให้การปฏิเสธความรับผิดและฟ้องแย้งเรียกค่าจ้างที่ค้างชำระตาม สัญญาดังกล่าวจากโจทก์ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้เจาะบ่อน้ำบาดาล ให้โจทก์แล้วแต่ไม่ได้ปริมาณน้ำตามสัญญาทำให้สัญญาเลิกกัน ศาลย่อมจักให้โจทก์ใช้ค่าแห่งงานที่ทำแล้วนั้นแก่จำเลยได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3123/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละประเด็นข้อกฎหมายในชั้นศาล และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยปัญหาความสงบเรียบร้อย
จำเลยได้ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การแต่ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กะประเด็นข้อนี้ไว้จำเลยมิได้โต้แย้ง ถือได้ว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้วเท่ากับไม่ได้มีการว่ากล่าวประเด็นนี้ใน ศาลชั้นต้น แม้จำเลยอาจยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ได้โดยถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นเมื่อเห็นสมควรศาลอุทธรณ์ก็อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองเช่นกัน หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อกฎหมายดังกล่าวไม่สมควรได้รับการวินิจฉัยแล้วแม้จำเลยจะได้อุทธรณ์ขึ้นมาด้วย ก็ไม่มีเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้อีกฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่มีเหตุสมควรจะวินิจฉัยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวของจำเลยจึงหาเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 134 ซึ่งห้ามมิให้ศาลปฏิเสธไม่ยอมตัดสินคดี โดยอ้างว่าไม่มีกฎหมายหรือกฎหมายเคลือบคลุมไม่บริบูรณ์แต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3123/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องในชั้นชี้สองสถาน และดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยได้ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ แต่ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กะประเด็นข้อนี้ไว้จำเลยมิได้โต้แย้ง ถือได้ว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้ว เท่ากับไม่ได้มีการว่ากล่าวประเด็นนี้ใน ศาลชั้นต้น แม้จำเลยอาจยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ได้โดยถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นเมื่อเห็นสมควรศาลอุทธรณ์ก็อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองเช่นกัน หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อกฎหมายดังกล่าวไม่สมควรได้รับการวินิจฉัยแล้ว แม้จำเลยจะได้อุทธรณ์ขึ้นมาด้วย ก็ไม่มีเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้อีก ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่มีเหตุสมควรจะวินิจฉัยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวของจำเลยจึงหาเป็นการไม่ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 134 ซึ่งห้ามมิให้ศาลปฏิเสธไม่ยอมตัดสินคดี โดยอ้างว่าไม่มีกฎหมายหรือกฎหมายเคลือบคลุมไม่บริบูรณ์แต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับเจ้าพนักงานที่ดินให้แก้ไขทะเบียนที่ดิน แม้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเกินอำนาจ
โจทก์มิได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ทะเบียนโฉนดที่พิพาทให้ใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันนั้นเป็นการบังคับบุคคลที่มิได้เป็นคู่ความในคดีและโจทก์ก็สามารถจัดการในเรื่องนี้ได้อยู่เองแล้ว จึงให้ยกคำขอของโจทก์ข้อนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2300/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่าตามมาตรา 1375 วรรคสอง: กำหนดเวลา 1 ปี มิใช่เรื่องอายุความ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสองกฎหมาย ใช้คำว่า "ต้องฟ้องภายในหนึ่งปี" เป็นบทบังคับเรื่องกำหนดเวลาสำหรับฟ้องหากไม่ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็หมดสิทธิฟ้อง คือโจทก์ย่อมหมดสิทธิครอบครอง ที่พิพาทเมื่อหมดสิทธิครอบครองเสียแล้วอำนาจฟ้องเรียกคืนที่พิพาทก็ไม่มีฉะนั้นกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 1375 จึงเป็นระยะเวลาให้ สิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่าไม่ใช่เรื่องอายุความ เพราะอายุความนั้นเป็นเรื่องขณะฟ้องสิทธิเรียกร้องยังมีอยู่แต่ไม่ใช้สิทธินั้นบังคับเสียภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงขาดอายุความห้ามมิให้ฟ้องร้อง เมื่อเป็น สิทธิฟ้องร้อง โจทก์จะมีสิทธิฟ้องหรือไม่ ย่อมเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นอ้างเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(5)จำเลยไม่จำต้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้
of 414