พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,138 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2300/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่าเกินหนึ่งปีตามมาตรา 1375 วรรคสอง เป็นเรื่องสิทธิฟ้อง ไม่ใช่อายุความ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง กฎหมาย ใช้คำว่า "ต้องฟ้องภายในหนึ่งปี" เป็นบทบังคับเรื่องกำหนดเวลาสำหรับฟ้องหากไม่ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็หมดสิทธิฟ้องคือโจทก์ย่อมหมดสิทธิครอบครอง ที่พิพาทเมื่อหมดสิทธิครอบครองเสียแล้วอำนาจฟ้องเรียกคืนที่พิพาทก็ไม่มีฉะนั้นกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 1375 จึงเป็นระยะเวลาให้ สิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่าไม่ใช่เรื่องอายุความ เพราะอายุความนั้นเป็นเรื่องขณะฟ้องสิทธิเรียกร้องยังมีอยู่แต่ไม่ใช้สิทธินั้นบังคับเสียภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงขาดอายุความห้ามมิให้ฟ้องร้อง เมื่อเป็น สิทธิฟ้องร้อง โจทก์จะมีสิทธิฟ้องหรือไม่ ย่อมเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นอ้างเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(5)จำเลยไม่จำต้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1701-1703/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง และขอบเขตการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเหตุละเมิด
บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีอำนาจฟ้องนายจ้างให้ร่วมรับผิดกับลูกจ้างชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้าง กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นได้
โจทก์ที่ 3 เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์รถยนต์ของบุตรคันที่ ถูกชนโดยละเมิด โจทก์ที่ 3 ฟ้องเรียกค่าเสียหายและค่าเสื่อมราคาของรถ โดยไม่ปรากฏว่าได้ซ่อมรถและจ่ายเงินไปจริงหรือไม่ โจทก์ที่ 3 มีอำนาจฟ้องเฉพาะเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อมเท่านั้น
คำฟ้องของโจทก์ในคดีส่วนอาญาที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องบรรยายว่า ผู้ตายซึ่งขับขี่รถยนต์อีกคันหนึ่งมีส่วนในการ ประมาทด้วย ข้อเท็จจริง ในคดีส่วนแพ่งคงมีผลให้ผูกพันและถือตามเฉพาะในส่วนที่ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาทเท่านั้นแต่หาต้องผูกพันถึงผู้ตาย ซึ่งขับรถอีกคันหนึ่งและไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยไม่ ผู้ตายขับรถโดยประมาทหรือไม่ ต้องถือตามที่นำสืบกันในคดีส่วนแพ่ง
จำเลยที่ 1 ลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 2 เมาสุราขับรถของจำเลยที่ 2 ไปในทางการที่จ้างชนรถยนต์คันอื่นโดยละเมิด จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ จะต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 นั้นด้วย
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 2 ขอดอกเบี้ยเฉพาะจากเงินค่าใช้จ่ายในการทำศพบุตรของโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 จึงชอบจะได้ดอกเบี้ยจากเงิน ค่าใช้จ่ายในการทำศพจำนวน 4,000 บาทเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ จำเลยทั้งสองใช้ดอกเบี้ยจากเงินค่าขาดไร้อุปการะมาด้วยจึงมิชอบ
โจทก์ที่ 3 เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์รถยนต์ของบุตรคันที่ ถูกชนโดยละเมิด โจทก์ที่ 3 ฟ้องเรียกค่าเสียหายและค่าเสื่อมราคาของรถ โดยไม่ปรากฏว่าได้ซ่อมรถและจ่ายเงินไปจริงหรือไม่ โจทก์ที่ 3 มีอำนาจฟ้องเฉพาะเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อมเท่านั้น
คำฟ้องของโจทก์ในคดีส่วนอาญาที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องบรรยายว่า ผู้ตายซึ่งขับขี่รถยนต์อีกคันหนึ่งมีส่วนในการ ประมาทด้วย ข้อเท็จจริง ในคดีส่วนแพ่งคงมีผลให้ผูกพันและถือตามเฉพาะในส่วนที่ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาทเท่านั้นแต่หาต้องผูกพันถึงผู้ตาย ซึ่งขับรถอีกคันหนึ่งและไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยไม่ ผู้ตายขับรถโดยประมาทหรือไม่ ต้องถือตามที่นำสืบกันในคดีส่วนแพ่ง
จำเลยที่ 1 ลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 2 เมาสุราขับรถของจำเลยที่ 2 ไปในทางการที่จ้างชนรถยนต์คันอื่นโดยละเมิด จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ จะต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 นั้นด้วย
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 2 ขอดอกเบี้ยเฉพาะจากเงินค่าใช้จ่ายในการทำศพบุตรของโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 จึงชอบจะได้ดอกเบี้ยจากเงิน ค่าใช้จ่ายในการทำศพจำนวน 4,000 บาทเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ จำเลยทั้งสองใช้ดอกเบี้ยจากเงินค่าขาดไร้อุปการะมาด้วยจึงมิชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสัญญา, การขยายเวลา, และสิทธิในการปรับสัญญาจากความผิดพลาดในการก่อสร้าง
จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างสะพานตามแบบแปลนต่อท้ายสัญญา โจทก์สร้างสะพานผิดแบบแปลนโดยแจ้งให้จำเลยทราบถึงสาเหตุที่จำเป็นแล้วและวิศวกรของจำเลยก็เห็นด้วย เมื่อกระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงแบบแปลนการก่อสร้างได้ตามที่จำเลยเสนอ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อสร้างสะพานผิดแบบแปลน
ตามสัญญาโจทก์จะต้องสร้างสะพานให้แล้วเสร็จและส่งมอบแก่จำเลยภายในวันที่ 27 มีนาคม 2522 เวลา 16.30 นาฬิกา แต่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 5 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างได้และประธานกรรมการตรวจการจ้างนัดตรวจงานในวันเดียวกันเวลา16.00 นาฬิกา และ ต่อมาจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างสะพานต่อไปตามสัญญา หนังสือทั้งสองฉบับนี้จำเลยมีถึงโจทก์ภายหลังที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้ว จำเลยมิได้กล่าวถึงกำหนดระยะเวลาก่อสร้างที่สิ้นสุดลงแล้ว กลับอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไป การที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไปทั้งๆ ที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้วนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยมิได้มีเจตนายึดถือเอากำหนดเวลาสิ้นสุดการก่อสร้างตามสัญญาเป็นสาระสำคัญจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะปรับโจทก์เพราะโจทก์ก่อสร้างล่าช้าเกินกำหนดเวลา ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินค่าปรับคืนบางส่วน โจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่น ทั้งแก้ฎีกาเป็นทำนอง ว่าพอใจตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้คืนค่าปรับทั้งหมดให้แก่โจทก์ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ยกปัญหาในเรื่องนี้ตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ต้องถือว่าปัญหาเรื่องนี้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาเรื่องนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ตามสัญญาโจทก์จะต้องสร้างสะพานให้แล้วเสร็จและส่งมอบแก่จำเลยภายในวันที่ 27 มีนาคม 2522 เวลา 16.30 นาฬิกา แต่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 5 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างได้และประธานกรรมการตรวจการจ้างนัดตรวจงานในวันเดียวกันเวลา16.00 นาฬิกา และ ต่อมาจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างสะพานต่อไปตามสัญญา หนังสือทั้งสองฉบับนี้จำเลยมีถึงโจทก์ภายหลังที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้ว จำเลยมิได้กล่าวถึงกำหนดระยะเวลาก่อสร้างที่สิ้นสุดลงแล้ว กลับอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไป การที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไปทั้งๆ ที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้วนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยมิได้มีเจตนายึดถือเอากำหนดเวลาสิ้นสุดการก่อสร้างตามสัญญาเป็นสาระสำคัญจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะปรับโจทก์เพราะโจทก์ก่อสร้างล่าช้าเกินกำหนดเวลา ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินค่าปรับคืนบางส่วน โจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่น ทั้งแก้ฎีกาเป็นทำนอง ว่าพอใจตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้คืนค่าปรับทั้งหมดให้แก่โจทก์ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ยกปัญหาในเรื่องนี้ตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ต้องถือว่าปัญหาเรื่องนี้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาเรื่องนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงแบบก่อสร้างหลังสัญญา สิทธิปรับล่าช้า และอายุความคดี
จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างสะพานตามแบบแปลนต่อท้ายสัญญา โจทก์สร้างสะพานผิดแบบแปลนโดยแจ้งให้จำเลยทราบถึงสาเหตุที่จำเป็นแล้วและวิศวกรของจำเลยก็เห็นด้วย เมื่อกระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงแบบแปลนการก่อสร้างได้ตามที่จำเลยเสนอ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อสร้างสะพานผิดแบบแปลน
ตามสัญญาโจทก์จะต้องสร้างสะพานให้แล้วเสร็จและส่งมอบแก่จำเลยภายในวันที่ 27 มีนาคม 2522 เวลา 16.30 นาฬิกา แต่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 5 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างได้และประธานกรรมการตรวจการจ้างนัดตรวจงานในวันเดียวกันเวลา16.00 นาฬิกา และ ต่อมาจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างสะพานต่อไปตามสัญญา หนังสือทั้งสองฉบับนี้จำเลยมีถึงโจทก์ภายหลังที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้ว จำเลยมิได้กล่าวถึงกำหนดระยะเวลาก่อสร้างที่สิ้นสุดลงแล้ว กลับอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไปการที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไปทั้งๆ ที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้วนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยมิได้มีเจตนายึดถือเอากำหนดเวลาสิ้นสุดการก่อสร้างตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะปรับโจทก์เพราะโจทก์ก่อสร้างล่าช้าเกินกำหนดเวลา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินค่าปรับคืนบางส่วน โจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่น ทั้งแก้ฎีกาเป็นทำนองว่าพอใจตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้คืนค่าปรับทั้งหมดให้แก่โจทก์ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ยกปัญหาในเรื่องนี้ตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ต้องถือว่าปัญหาเรื่องนี้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาเรื่องนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ตามสัญญาโจทก์จะต้องสร้างสะพานให้แล้วเสร็จและส่งมอบแก่จำเลยภายในวันที่ 27 มีนาคม 2522 เวลา 16.30 นาฬิกา แต่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 5 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างได้และประธานกรรมการตรวจการจ้างนัดตรวจงานในวันเดียวกันเวลา16.00 นาฬิกา และ ต่อมาจำเลยมีหนังสือลงวันที่ 12 เมษายน 2522 แจ้งให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างสะพานต่อไปตามสัญญา หนังสือทั้งสองฉบับนี้จำเลยมีถึงโจทก์ภายหลังที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้ว จำเลยมิได้กล่าวถึงกำหนดระยะเวลาก่อสร้างที่สิ้นสุดลงแล้ว กลับอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไปการที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์ดำเนินการก่อสร้างต่อไปทั้งๆ ที่กำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้วนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยมิได้มีเจตนายึดถือเอากำหนดเวลาสิ้นสุดการก่อสร้างตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะปรับโจทก์เพราะโจทก์ก่อสร้างล่าช้าเกินกำหนดเวลา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินค่าปรับคืนบางส่วน โจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่น ทั้งแก้ฎีกาเป็นทำนองว่าพอใจตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้คืนค่าปรับทั้งหมดให้แก่โจทก์ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ยกปัญหาในเรื่องนี้ตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงถือว่าไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ต้องถือว่าปัญหาเรื่องนี้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์เมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาเรื่องนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1485/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีก่อน: โจทก์ถูกผูกพันตามคำพิพากษาเดิม จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีใหม่
คดีก่อน กรมทางหลวงเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้กับ ส.ลูกจ้างของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 คดีนี้เป็นจำเลย หาว่าส. ขับรถยนต์โดยสารในทางการที่จ้างของโจทก์และจำเลย ที่ 1ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทโดยต่างขับเคียงคู่ใกล้ชิดกันด้วยความเร็วสูงในลักษณะแข่งขันความเร็วกัน เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันกระแทกกันจนรถยนต์โดยสารแฉลบออกไปชนเสาและราวเกาะกลางถนนกับเสาไฟฟ้าของกรมทางหลวงเสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสี่ (ในคดีก่อน)ใช้ค่าเสียหาย คดีถึงที่สุดโดยศาลฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุละเมิดเกิดจากความผิดของรถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกคันหนึ่งขับแซงเบียดกระแทกรถยนต์บรรทุกทำให้รถยนต์บรรทุกเสียหลักไปชนรถยนต์โดยสารหาใช่ความผิดของจำเลยที่ 1 คดีนี้และ ส. ไม่ พิพากษายกฟ้อง โจทก์มาฟ้องคดีนี้ โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับที่โจทก์ให้การต่อสู้ในคดีก่อนว่า จำเลยที่ 1 คดีนี้ขับรถเบนออกมาทางด้านขวาเข้ามาชนรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหลักพุ่งเข้าชนเกาะกลางถนนเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว เช่นนี้ เห็นได้ว่าประเด็นข้อพิพาทโดยตรงในคดีก่อนกับคดีนี้เป็นอย่างเดียวกันว่า ส.ลูกจ้างของโจทก์หรือจำเลยที่ 1 คดีนี้เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทแม้ว่าในคดีก่อน โจทก์กับ ส. ลูกจ้าง และจำเลยที่ 1 ที่ 2 คดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตามก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของ ศาลในคดีก่อนด้วยคำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพัน โจทก์คดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถยนต์บรรทุกโดย ประมาทดังข้ออ้างในฟ้องเป็นความประมาทของรถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกคันหนึ่ง โจทก์จะโต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทหาได้ไม่
เมื่อโจทก์ต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนโดยผลของกฎหมายว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็เท่ากับว่า จำเลยที่ 1 รวมทั้งจำเลยอื่น (นายจ้างของจำเลยที่ 1 และผู้รับประกันภัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ) ไม่ได้ โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องย่อมเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
เมื่อโจทก์ต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนโดยผลของกฎหมายว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็เท่ากับว่า จำเลยที่ 1 รวมทั้งจำเลยอื่น (นายจ้างของจำเลยที่ 1 และผู้รับประกันภัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ) ไม่ได้ โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องย่อมเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1485/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาเดิมต่อคดีใหม่ & อำนาจฟ้อง: เมื่อข้อพิพาทซ้ำกับคดีก่อน โจทก์ถูกผูกพันตามคำพิพากษาเดิม
คดีก่อน กรมทางหลวงเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้กับ ส.ลูกจ้างของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 คดีนี้เป็นจำเลย หาว่า ส. ขับรถยนต์โดยสารในทางการที่จ้างของโจทก์และจำเลย ที่ 1ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทโดยต่างขับเคียงคู่ใกล้ชิดกันด้วยความเร็วสูงในลักษณะแข่งขันความเร็วกัน เป็นเหตุให้รถทั้งสองคัน กระแทกกันจนรถยนต์โดยสารแฉลบออกไปชนเสาและราวเกาะกลางถนนกับ เสาไฟฟ้าของกรมทางหลวงเสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสี่ (ในคดีก่อน)ใช้ค่าเสียหาย คดีถึงที่สุดโดยศาลฟัง ข้อเท็จจริงว่า เหตุละเมิดเกิดจากความผิดของรถยนต์บรรทุกน้ำมัน อีกคันหนึ่งขับแซงเบียดกระแทกรถยนต์บรรทุกทำให้รถยนต์บรรทุก เสียหลักไปชนรถยนต์โดยสารหาใช่ความผิดของจำเลยที่ 1 คดีนี้และ ส. ไม่ พิพากษายกฟ้องโจทก์มาฟ้องคดีนี้ โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับที่โจทก์ให้การต่อสู้ในคดีก่อนว่า จำเลยที่ 1 คดีนี้ขับรถเบนออกมาทางด้านขวาเข้ามาชน รถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหลักพุ่งเข้าชนเกาะกลางถนน เป็นความ ประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว เช่นนี้ เห็นได้ว่า ประเด็นข้อพิพาทโดยตรงในคดีก่อนกับคดีนี้เป็นอย่างเดียวกันว่า ส.ลูกจ้างของโจทก์หรือจำเลยที่ 1 คดีนี้เป็น ฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทแม้ว่าในคดีก่อน โจทก์กับ ส. ลูกจ้าง และจำเลยที่ 1 ที่ 2 คดีนี้จะเป็นจำเลยด้วย กันก็ตามก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของ ศาลในคดีก่อนด้วยคำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพัน โจทก์คดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถยนต์บรรทุกโดย ประมาทดังข้ออ้างในฟ้องเป็นความประมาทของรถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกคันหนึ่ง โจทก์จะโต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่าย ประมาทหาได้ไม่
เมื่อโจทก์ต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนโดยผลของกฎหมายว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็เท่ากับ ว่า จำเลยที่ 1รวมทั้งจำเลยอื่น (นายจ้างของจำเลยที่ 1 และผู้รับประกันภัยรถยนต์ ที่จำเลยที่ 1 ขับ) ไม่ได้ โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องย่อมเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
เมื่อโจทก์ต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนโดยผลของกฎหมายว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็เท่ากับ ว่า จำเลยที่ 1รวมทั้งจำเลยอื่น (นายจ้างของจำเลยที่ 1 และผู้รับประกันภัยรถยนต์ ที่จำเลยที่ 1 ขับ) ไม่ได้ โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องย่อมเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำโดยผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลเป็นโมฆะ
สัญญาแบ่งปันทรัพย์มรดกเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์เข้าทำสัญญาดังกล่าวเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนในอันที่จะคุ้มครองผู้เยาว์ แม้จะมิได้ว่ากล่าวกันมาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกมรดกจากผู้จัดการมรดกซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายด้วย การแบ่งทรัพย์มรดกต้องแบ่งกันตามส่วนที่แต่ละคน มีสิทธิได้รับ เมื่อปรากฏว่าทายาทผู้มีสิทธิได้รับที่ดินพิพาทตามพินัยกรรม มี 5 คนโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเพียงคนละ 1 ใน 5 ส่วน
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1602/2519)
โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกมรดกจากผู้จัดการมรดกซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายด้วย การแบ่งทรัพย์มรดกต้องแบ่งกันตามส่วนที่แต่ละคน มีสิทธิได้รับ เมื่อปรากฏว่าทายาทผู้มีสิทธิได้รับที่ดินพิพาทตามพินัยกรรม มี 5 คนโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเพียงคนละ 1 ใน 5 ส่วน
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1602/2519)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ผู้เยาว์เกี่ยวข้อง โมฆะหากไม่มีอนุญาตศาล
สัญญาแบ่งปันทรัพย์มรดกเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์เข้าทำสัญญาดังกล่าวเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมาย อันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนในอันที่จะคุ้มครองผู้เยาว์ แม้จะมิได้ว่ากล่าวกันมาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกมรดกจากผู้จัดการมรดกซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายด้วยการแบ่งทรัพย์มรดกต้องแบ่งกันตามส่วนที่แต่ละคน มีสิทธิได้รับ เมื่อปรากฏว่าทายาทผู้มีสิทธิได้รับที่ดินพิพาทตามพินัยกรรม มี 5 คนโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเพียงคนละ1ใน5 ส่วน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1602/2519)
โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกมรดกจากผู้จัดการมรดกซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายด้วยการแบ่งทรัพย์มรดกต้องแบ่งกันตามส่วนที่แต่ละคน มีสิทธิได้รับ เมื่อปรากฏว่าทายาทผู้มีสิทธิได้รับที่ดินพิพาทตามพินัยกรรม มี 5 คนโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเพียงคนละ1ใน5 ส่วน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1602/2519)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโดยจำเลยไม่ทราบเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดให้โจทก์ฟังไปฝ่ายเดียวโดยที่ส่งหมายให้จำเลยไม่ได้จำเลยจึงไม่ทราบนัดและไม่มาศาลนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนพิจารณาหลังจากนั้นต่อมาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยฟัง ก็หาทำให้การอ่านคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเป็นการผิดระเบียบ ชอบที่จะเพิกถอนเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โดยจำเลยไม่ทราบถึงการนัดฟังคำสั่ง เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และต้องเพิกถอน
การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดให้โจทก์ฟังไปฝ่ายเดียวโดยที่ส่งหมายให้จำเลยไม่ได้ จำเลยจึงไม่ทราบนัดและไม่มาศาลนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนพิจารณาหลังจากนั้นต่อมาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยฟัง ก็หาทำให้การอ่านคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเป็นการผิดระเบียบ ชอบที่จะเพิกถอนเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้