พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,138 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาไม่ครบ คดีถูกยก เหตุจำเลยเพิกเฉย
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา แต่ปรากฎว่า ผู้ฎีกาเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาขาด ศาลฎีกาจึงสั่งให้เรียกค่าขึ้นศาลให้ครบนั้น เมื่อจำเลยไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมที่ขาดโดยเพิกเฉยเสีย ศาลฎีกาก็พิพากษาให้ยกฎีกานั้นเสียและให้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาเป็นพับไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 567/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเหตุให้ยกฎีกา
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา แต่ปรากฏว่า ผู้ฎีกาเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาขาด ศาลฎีกาจึงสั่งให้เรียกค่าขึ้นศาลให้ครบนั้น เมื่อจำเลยไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมที่ขาดโดยเพิกเฉยเสีย ศาลฎีกาก็พิพากษาให้ยกฎีกานั้นเสียและให้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาเป็นพับไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์: ผลกระทบและการขาดโอกาสอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นส่งให้นำส่งสำเนาฟ้องอุทธรณ์ใน 15 วันแต่คู่ความฝ่ายอุทธรณ์ไม่ทำการนำส่งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งเอกสารอุทธรณ์ ถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งให้นำส่งสำเนาฟ้องอุทธรณ์ใน 15 วันแต่คู่ความฝ่ายอุทธรณ์ไม่ทำการนำส่งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจยินยอมของมารดาแทนบุตรผู้เยาว์, สิทธิครอบครองเวนคืน, และการฟ้องขับไล่
อำเภอเปรียบเทียบให้ที่นาและที่สวนเป็นสิทธิแก่ฝ่ายจำเลยแต่ปรากฏว่า ที่นาและที่สวนนี้เป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ และมารดาโจทก์ร่วมกัน เมื่อมารดาโจทก์แต่ผู้เดียวได้ยินยอมตามที่อำเภอเปรียบเทียบการยินยอมนั้นย่อมไม่ชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546
อย่างไรก็ดี เมื่อฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่นาและที่สวนพิพาทนี้มาเกิน 1 ปีแล้วฝ่ายจำเลยก็ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาท เพราะเป็นที่มือเปล่า ส่วนที่สวนโจทก์ฟ้องเรียกคืนได้ เพราะจำเลยยังครอบครองไม่ถึง 10 ปี
ประเด็นข้อที่ว่ามารดาไม่มีอำนาจให้ความยินยอมแทนบุตรตามที่อำเภอเปรียบเทียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1546 นั้น เป็นเรื่องกระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้เยาว์และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนวินิจฉัยได้
อย่างไรก็ดี เมื่อฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่นาและที่สวนพิพาทนี้มาเกิน 1 ปีแล้วฝ่ายจำเลยก็ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาท เพราะเป็นที่มือเปล่า ส่วนที่สวนโจทก์ฟ้องเรียกคืนได้ เพราะจำเลยยังครอบครองไม่ถึง 10 ปี
ประเด็นข้อที่ว่ามารดาไม่มีอำนาจให้ความยินยอมแทนบุตรตามที่อำเภอเปรียบเทียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1546 นั้น เป็นเรื่องกระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้เยาว์และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมที่ไม่ชอบตามกฎหมาย และผลกระทบต่อสิทธิในที่ดิน การครอบครองปรปักษ์
อำเภอเปรียบเทียบให้ที่นาและที่สวนเป็นสิทธิแก่ฝ่ายจำเลย แต่ปรากฎว่าที่นาและที่สวนนี้เป็นมรดกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ และมารดาโจทก์ร่วมกัน เมื่อมารดาโจทก์แต่ผู้เดียวได้ยินยอมตามที่อำเภอเปรียบเทียบการยินยอมนั้น ย่อมไม่ชอบตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1546
อย่างไรก็ดีเมื่อฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่นาและที่สวนพิพาทนี้มาเกิน 1 ปีแล้วฝ่ายจำเลยก็ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาท เพราะเป็นที่มือเปล่า ส่วนที่สวนโจทก์ฟ้องเรียกคืนได้ เพราะจำเลยยังครอบครองไม่ถึง 10 ปี
ประเด็นข้อที่ว่ามารดาไม่มีอำนาจให้ความยินยอมแทนบุตรตามที่อำเภอเปรียบเทียบตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1546 นั้น เป็นเรื่องกะทบกะเทือนถึงสิทธิของผู้เยาว์และเป็นข้อ ก.ม.อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่ได้อ้างกันมาแต่ต้น ศาลสูงก็มีอำนาจวินิจฉัยได้
อย่างไรก็ดีเมื่อฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่นาและที่สวนพิพาทนี้มาเกิน 1 ปีแล้วฝ่ายจำเลยก็ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาท เพราะเป็นที่มือเปล่า ส่วนที่สวนโจทก์ฟ้องเรียกคืนได้ เพราะจำเลยยังครอบครองไม่ถึง 10 ปี
ประเด็นข้อที่ว่ามารดาไม่มีอำนาจให้ความยินยอมแทนบุตรตามที่อำเภอเปรียบเทียบตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1546 นั้น เป็นเรื่องกะทบกะเทือนถึงสิทธิของผู้เยาว์และเป็นข้อ ก.ม.อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่ได้อ้างกันมาแต่ต้น ศาลสูงก็มีอำนาจวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนขายทรัพย์สินเช่าและการรบกวนสิทธิผู้เช่า ศาลยืนตามเดิมว่าผู้เช่ายังมีสิทธิอยู่ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าจำเลยสมยอมกันขายบ้านที่โจทก์เช่าอยู่แล้วยอมความกัน ให้จำเลยอีกคนหนึ่งรื้อบ้านไปจึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายสัญญายอมความ และห้ามจำเลยรบกวนขัดขวางรอนสิทธิโจทก์ในการอยู่ในบ้านนี้
ศาลชั้นต้นตัดสินว่าโจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยสมยอมกันหรือไม่ จึงพิพากษาห้ามจำเลยขัดขวางรบกวนสิทธิของโจทก์ในการเช่าบ้านหลังนี้ ดังนี้ สำหรับข้อที่โจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ซึ่งศาลชั้นต้นยกขึ้นขี้ขาดให้จำเลยแพ้คดีจำเลยหาได้อุทธรณ์ไม่ จำเลยกลับไปอุทธรณ์ว่าจำเลยทำการโดยสุจริตไม่ได้สมยอมกัน อันเป็นประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัย ดังนี้ ถือว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่เป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นตัดสินว่าโจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยสมยอมกันหรือไม่ จึงพิพากษาห้ามจำเลยขัดขวางรบกวนสิทธิของโจทก์ในการเช่าบ้านหลังนี้ ดังนี้ สำหรับข้อที่โจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ซึ่งศาลชั้นต้นยกขึ้นขี้ขาดให้จำเลยแพ้คดีจำเลยหาได้อุทธรณ์ไม่ จำเลยกลับไปอุทธรณ์ว่าจำเลยทำการโดยสุจริตไม่ได้สมยอมกัน อันเป็นประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัย ดังนี้ ถือว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่เป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัย ถือเป็นอุทธรณ์ไม่เป็นประเด็น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีคำพิพากษายืน
โจทก์ฟ้องจำเลยหาว่า จำเลยสมยอมกันขายบ้านที่โจทก์เช่าอยู่แล้วยอมความกัน ให้จำเลยอีกคนหนึ่งรื้อบ้านไป จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขาย สัญญายอมความและห้ามจำเลยรบกวนขัดขวางรอนสิทธิโจทก์ในการอยู่ในบ้านนี้
ศาลชั้นต้นตัดสินว่าโจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยสมยอมกันหรือไม่ จึงพิพากษาห้ามจำเลยขัดขวางรบกวนสิทธิของโจทก์ในการเช่าบ้านหลังนี้ ดังนี้ สำหรับข้อที่โจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ซึ่งศาลชั้นต้นยกขึ้นชี้ขาดให้จำเลยแพ้คดีจำเลยหาได้อุทธรณ์ไม่ จำเลยกลับไปอุทธรณ์ว่า จำเลยทำการโดยสุจริต ไม่ได้สมยอมกัน อันเป็นประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัย ดังนี้ ถือว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่เป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นตัดสินว่าโจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยสมยอมกันหรือไม่ จึงพิพากษาห้ามจำเลยขัดขวางรบกวนสิทธิของโจทก์ในการเช่าบ้านหลังนี้ ดังนี้ สำหรับข้อที่โจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ซึ่งศาลชั้นต้นยกขึ้นชี้ขาดให้จำเลยแพ้คดีจำเลยหาได้อุทธรณ์ไม่ จำเลยกลับไปอุทธรณ์ว่า จำเลยทำการโดยสุจริต ไม่ได้สมยอมกัน อันเป็นประเด็นที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัย ดังนี้ ถือว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่เป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 821/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีครอบครองที่ดิน ศาลต้องวินิจฉัยกรรมสิทธิก่อน หากกรรมสิทธิไม่ชัดเจน การพิพากษายกฟ้องเฉพาะข้อบุกรุกจึงไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าที่พิาพทเป็นของผู้ร้องสอด และจำเลยมิได้บุกรุก ผู้ร้องสอดร้องสอดเข้ามา ก็ให้การยืนยันว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของที่พิพาทดังนี้ ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงมีเป็นประการแรกว่า ที่พิพาทเป็นของใคร ถ้าฟังว่าเป็นของโจทก์ จึงจะมีประเด็นต่อไปว่า จำเลยบุกรุกหรือเปล่า ถ้าฟังว่าที่เป็นของผู้ร้องสอดข้อบุกรุกก็ตกไป ฉะนั้นศาลจะชี้ขาดแต่เพียงว่าจำเลยไม่ได้บุกรุกแล้วพิพากษายกฟ้องโจกท์เสียโดยไม่ชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือมิใช่ ซึ่งเป็นของโจทก์หรือมิใช่ ซึ่งเป็นข้ออ้างสำคัญที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีนี้นี้นจึงมิได้เป็นการตัดสินคดีตามข้อหาในฟ้องของโจทก์ทุกข้อเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ ป.ว.แพ่ง 142,246
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 821/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ในที่ดินก่อนพิจารณาประเด็นบุกรุก: ศาลต้องชี้ขาดกรรมสิทธิ์ก่อน หากกรรมสิทธิ์ไม่ชัดเจน ประเด็นบุกรุกจึงไม่สามารถวินิจฉัยได้
โจทก์ฟ้องว่าที่วิวาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องสอดและจำเลยมิได้บุกรุก ผู้ร้องสอดร้องสอดเข้ามา ก็ให้การยืนยันว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของที่พิพาท ดังนี้ ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงมีเป็นประการแรกว่า ที่พิพาทเป็นของใคร ถ้าฟังว่าเป็นของโจทก์จึงจะมีประเด็นต่อไปว่า จำเลยบุกรุกหรือเปล่า ถ้าฟังว่าที่เป็นของผู้ร้องสอดข้อบุกรุกก็ตกไป ฉะนั้นศาลจะชี้ขาดแต่เพียงว่าจำเลยไม่ได้บุกรุกแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียโดยไม่ชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือมิใช่ซึ่งเป็นข้ออ้างสำคัญที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีนี้นั้นจึงมิได้เป็นการตัดสินคดีตามข้อหาในฟ้องของโจทก์ทุกข้อเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142,246