พบผลลัพธ์ทั้งหมด 68 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1297/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานเสพยาเสพติดและการขับรถภายหลังเสพเป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท
แม้การเสพเมทแอมเฟตามีนเพียงอย่างเดียวจะเป็นความผิดสำเร็จในทันทีที่เสพก็ตาม แต่ความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่รถยนต์เสพเมทแอมเฟตามีนก็เป็นการกระทำที่ยังอาศัยองค์ประกอบความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนกับการเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ด้วยจึงจะเป็นความผิด การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดที่เกิดจากการกระทำหลายอย่างประกอบกัน ซึ่งการเสพเมทแอมเฟตามีนเป็นองค์ประกอบความผิดส่วนหนึ่ง การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องและความผิดตามฟ้องเป็นความผิดตามกฎหมายคนละฉบับกัน ก็หาทำให้การกระทำกรรมเดียวกลายเป็นการกระทำหลายกรรมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1077/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลจำกัดตามคำฟ้อง โจทก์มิได้ขอลงโทษตามกฎหมายเฉพาะ ศาลพิพากษาเกินคำขอไม่ได้
ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง" อันเป็นการกำหนดกรอบอำนาจการพิพากษาหรือการมีคำสั่งชี้ขาดคดีของศาลไว้ 2 ประการ คือ ห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอประการหนึ่ง กับห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งในข้อที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องอีกประการหนึ่ง ซึ่งศาลอยู่ในบังคับที่จะพิพากษาหรือสั่งเกินประการหนึ่งประการใดมิได้และทั้งสองประการดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องระบุในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) และ (6) เมื่อโจทก์มิได้อ้างมาตรา 91 ตรี แห่ง พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯ ซึ่งบัญญัติว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด และความผิดดังกล่าวมีโทษสูงกว่าโทษในความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯ มาตรา 91 ตรี และเป็นการเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ ศาลจึงพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1077/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดอำนาจศาลในการลงโทษเกินคำขอในฟ้องอาญา แม้โจทก์บรรยายองค์ประกอบความผิดครบถ้วน
โจทก์มิได้อ้างมาตรา 91 ตรี แห่ง พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด และความผิดดังกล่าวมีโทษสูงกว่าโทษความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 91 ตรี และเป็นการเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ ศาลจึงพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 954/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการจำหน่ายยาเสพติด: การรับสารภาพ, พยานหลักฐาน, และความผิดหลายกรรม
จำเลยที่ 2 เดินทางไปในที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1 ตามเวลาที่จำเลยที่ 1 นัดส่งมอบยาเสพติดให้โทษแก่สายลับโดยจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 เดินทางไปหาสายลับด้วยกัน ขณะที่จำเลยที่ 1 และสายลับส่งมอบสิ่งของให้แก่กันจำเลยที่ 2 ก็อยู้ด้วย เมื่อถูกจับจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพทันที แม้จะค้นไม่ได้ของกลางจากจำเลยที่ 2 เลยก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์จำเลยที่ 2 อยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอดถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1
การล่อซื้อยาเสพติดเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานอย่างหนึ่งของเจ้าพนักงานตำรวจไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
การที่จำเลยทั้งสองเตรียมยาเสพติดให้โทษติดตัวมาแล้วขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปส่วนหนึ่ง พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มียาเสพติดให้โทษของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และเมื่อจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายยาเสพติดให้โทษดังกล่าวไปส่วนหนึ่งอันมีลักษณะการกระทำต่างกันและต่างขั้นตอนกัน การกระทำของจำเลยทั้งสอง ย่อมเป็นความผิดทั้งมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกรรมหนึ่ง และมีความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษอีกกรรมหนึ่งด้วย เป็นความผิดต่างกรรมกัน
การล่อซื้อยาเสพติดเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานอย่างหนึ่งของเจ้าพนักงานตำรวจไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
การที่จำเลยทั้งสองเตรียมยาเสพติดให้โทษติดตัวมาแล้วขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปส่วนหนึ่ง พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มียาเสพติดให้โทษของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และเมื่อจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายยาเสพติดให้โทษดังกล่าวไปส่วนหนึ่งอันมีลักษณะการกระทำต่างกันและต่างขั้นตอนกัน การกระทำของจำเลยทั้งสอง ย่อมเป็นความผิดทั้งมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกรรมหนึ่ง และมีความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษอีกกรรมหนึ่งด้วย เป็นความผิดต่างกรรมกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการสืบพยานเด็ก: การพิจารณาคดีลับชอบด้วยกฎหมาย
ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี บัญญัติว่า "ในการสืบพยานในคดีที่พยานเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ถ้าศาลเห็นสมควรและจัดให้พยานนั้นอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแล้ว ศาลอาจปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้..." จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวมิใช่บทบัญญัติบังคับศาล แต่ให้เป็นดุลพินิจของศาลในการกำหนดวิธีการสำหรับสืบพยานเด็ก เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการสืบพยานเด็กโดยให้พิจารณาลับ การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีดังกล่าว จึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และคำเบิกความของผู้เสียหายย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 117/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนใจ, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, บังคับจับกุม: ศาลฎีกายืนโทษจำคุกฐานกระทำอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย
การที่จำเลยทั้งสองบังคับจับตัวผู้เสียหายที่ 1 มาจากหน้าศูนย์การค้า ซ. เป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่มีเหตุอันสมควรรอการลงโทษจำคุกให้
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2540 แต่โจทก์นำสืบตรงตามข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2540 และจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบต่อสู้เกี่ยวกับวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้หลงต่อสู้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดจริงตามฟ้องศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2540 แต่โจทก์นำสืบตรงตามข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2540 และจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบต่อสู้เกี่ยวกับวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้หลงต่อสู้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดจริงตามฟ้องศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9090/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนของกลางที่ถูกริบ ผู้ร้องต้องพิสูจน์ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดของผู้กระทำความผิด ไม่ใช่การต่อสู้คดีอาญา
คดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้วศาลจะสั่งคืนให้แก่เจ้าของซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ แม้ฟังได้ว่าคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็เป็นเรื่องการต่อสู้คดีของจำเลยว่าผลคดีถึงที่สุดจะเป็นประการใด หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ร้องแต่อย่างใดไม่ ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนรถยนต์ของกลางหาได้ไม่