คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 423

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 97 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลคำนวณจากจำนวนข้อหา, การร้องเรียนต่อผู้ว่าจ้างชอบธรรม, เบิกความไม่เป็นเท็จ ไม่เป็นการละเมิด
ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. เรื่อง ค่าขึ้นศาล ไม่ได้บัญญัติว่าคดีหนึ่งเสียค่าขึ้นศาลไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้นในการพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด จำต้องพิจารณาคำฟ้องเป็นเกณฑ์ ดังนี้ การเรียกค่าขึ้นศาลจึงต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา แต่ละข้อหาเกี่ยวข้องกันหรือแยกจากกัน
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่ง และฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่ง เป็นการเสนอข้อหาต่อศาล 2 ข้อหาและแยกออกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลทั้ง 2 ข้อหา
ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์ และตามสัญญาโจทก์มีสิทธิปรับจำเลยที่ 1 ได้ แต่โจทก์ไม่ได้สงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 1 สิทธิตามสัญญาจึงเป็นอันระงับสิ้นไปนั้นเมื่อเป็นข้อที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลล่างจะต้องวินิจฉัยและประเด็นดังกล่าวไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การที่โจทก์อ้างว่าถูกยึดและอายัดทรัพย์ในคดีแพ่งเนื่องจากการเบิกความเท็จของจำเลยที่ 2 และการที่จำเลยทั้งสองร้องเรียนโจทก์ต่อส.ผู้ว่าจ้างโจทก์เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ และจำเลยทั้งสองสมคบกับ ย.หน่วงเหนี่ยวการทำงานของโจทก์ ทำให้โจทก์ทำงานไม่ทันตามกำหนดเวลาจนถูกส.บอกเลิกสัญญานั้น เมื่อปรากฏว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ และจำเลยที่ 2ได้เบิกความในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา และก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายลิฟต์เรียบร้อยแล้ว และโจทก์ได้รับเงินจาก ส.ในงานส่วนติดตั้งลิฟต์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงได้ร้องเรียนต่อ ส. ส.ได้เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ย โจทก์ตกลงจ่ายงินค่าลิฟต์ให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ในที่สุดก็ไม่จ่าย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อ ส. จึงเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะกระทำได้โดยชอบธรรม หาเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ไม่ และการที่จำเลยที่ 2 เบิกความในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ไปตามที่จำเลยที่ 2 รู้เห็นและเข้าใจ และหาเป็นความเท็จไม่ ส่วนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่แม้เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่ยืนยันว่าเป็นผู้รู้เห็นในเรื่องการขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบริเวณก่อสร้าง แต่โจทก์ก็นำสืบรับว่าโจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบริเวณก่อสร้างจริง สำหรับในเรื่องเสนอขายเครื่องมือเครื่องจักร แก่ธนาคาร ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 อาจเข้าใจเอาเองเพราะเป็นข้อที่ทราบกันทั่วไป คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1672/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลต้องถือตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุด
จำเลยเคยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในข้อหาหมิ่นประมาท คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกัน ดังนี้ ต้องฟังว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเห็นทางการแพทย์โดยไม่ตรวจร่างกาย: ไม่เป็นละเมิดหากให้ความเห็นโดยสุจริตและเป็นกลาง
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติอย่างไรในการที่จะต้องตรวจร่างกายหรือจิตใจของโจทก์เสียก่อนจึงจะให้ความเห็นได้ และมิได้บรรยายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้ความเห็นเป็นผลร้ายโดยตรงแก่โจทก์การที่จำเลยซึ่งเป็นแพทย์ได้ให้ความเห็นอย่างเป็นกลางในวิชาความรู้ทางการแพทย์ และมิได้ยืนยันเป็นเด็ดขาดว่าโจทก์เป็นโรคชนิดใด ถือได้ว่าจำเลยให้ความเห็นโดยสุจริตไม่เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความเป็นเท็จอันจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์เมื่อการกระทำของจำเลยตามฟ้องโจทก์ไม่เป็นละเมิด ศาลก็พิพากษายกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้องได้โดยไม่จำต้องรับฟังพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 104/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องละเมิดจากหนังสือร้องเรียนที่ไม่เป็นความจริง และความรับผิดของนายจ้างต่อลูกจ้าง
การฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายในมูลละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 432 ไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์คนละเท่าใด เพราะจำเลยต้องร่วมกันรับผิดตามฟ้องอยู่แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือร้องเรียนโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชา กล่าวหาว่าโจทก์ไม่ยอมทำงานเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ มือคติ ในการทำงาน พยายามหน่วงเหนี่ยวและกระทำการเป็นกำแพงฟ้องกันการส่งสินค้าออก ซึ่งเป็นการร้องเรียนกล่าวหาฝ่าฝืนความจริง จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 104/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องละเมิดจากหนังสือร้องเรียนเท็จ การพิสูจน์ข้อเท็จจริง และขอบเขตความรับผิดร่วมกัน
การฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 ไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์คนละเท่าใดเพราะจำเลยต้องร่วมกันรับผิดเต็มตามฟ้องอยู่แล้ว ดังนั้น ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม แม้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมการค้าต่างประเทศจะพูดกับจำเลยที่ 1 ผู้มาขอให้โจทก์ช่วยตรวจสอบเรื่องของจำเลยที่ 1ว่า "ผมไม่ชอบให้พ่อค้าเร่งข้าราชการ ผมรู้หน้าที่ของผมดี ผมไม่ชอบ"ก็ไม่ใช่ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ เชื่อว่าเกิดจากความไม่พอใจที่จำเลยที่ 1 มาเร่งรัด ประกอบกับโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติโดยไม่ชักช้า โจทก์จึงไม่มีอคติในการทำงาน การที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่าโจทก์ไม่ยอมทำงานเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ มีอคติในการทำงาน และกระทำการหน่วงเหนี่ยวเป็นกำแพงป้องกันการส่งสินค้าออก จึงเป็นการร้องเรียนกล่าวหาที่ฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ ความเสียหายต่อชื่อเสียงทางการเมืองและอาชีพแพทย์ ค่าสินไหมทดแทนที่สมควร
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริงเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงของโจทก์ทั้งด้านการเมืองและด้านการประกอบอาชีพ โดยขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นรองหัวหน้าพรรคประชากรไทยและประกอบอาชีพเป็นแพทย์ การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของหนังสือพิมพ์และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ โจทก์ขอคิดค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 500,000 บาท เป็นการบรรยายฟ้องโดยแสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่า การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงของโจทก์ ทั้งในด้านการเมืองและการประกอบอาชีพแพทย์ ส่วนจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ แม้จะขอรวมกันมาโดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่า ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงในด้านการเมืองเป็นจำนวนเท่าใด ด้านประกอบอาชีพแพทย์เป็นจำนวนเท่าใดก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
จำเลยลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์โดยพาดหัวว่า บ.มินิแบร์โวยบุญเทียมทำแสบ ดอง เรื่องเที่ยวบินขนผลิตภัณฑ์ และมีข้อความต่อไปว่า บุญเทียม เขมาภิรัตน์ ถูกโวย อีกแล้ว บริษัทมินิแบร์ผู้ผลิตตลับลูกปืนร้องเรียนกระทรวงอุตสาหกรรมถูกบุญเทียมเตะถ่วงอนุมัติเที่ยวบินพิเศษขนผลิตภัณฑ์ส่งขายนอกการกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหาย ทำให้ไม่มั่นใจในการลงทุนในไทย เผยผจญปัญหามาปีเศษแล้ว และมีข้อความต่อไปว่า การขออนุมัติเที่ยวบินพิเศษนี้ กรมการบินพาณิชย์จะเสนอต่อนายแพทย์บุญเทียม เขมาภิรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แต่ติดขัดที่ นายแพทย์บุญเทียมกว่าจะลงนามเห็นชอบก็จวนถึงเวลาที่มินิแบร์ได้เตรียมการบินไว้แล้ว ซึ่งโจทก์กล่าวในฟ้องว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง จำเลยให้การยอมรับว่าได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ข้อความดังกล่าวไม่เป็นหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ การเสนอข่าวของจำเลยเป็นการชอบธรรมอันอยู่ในวิสัยซึ่งบุคคลในฐานะเช่นจำเลยกระทำได้ไม่ได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์เป็นความจริงเท่ากับยอมรับว่าไม่เป็นความจริง
จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์เก็บเรื่องการขออนุมัติเที่ยวบินพิเศษเพื่อขนผลิตภัณฑ์ของบริษัทมินิแบร์ จำกัด และถ่วงเวลาไว้ ไม่รีบอนุมัติเที่ยวบินโดยเร็ว เป็นการกลั่นแกล้งบริษัทมินิแบร์ จำกัด ให้ได้รับความเสียหาย มิใช่การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรมอันอยู่ในวิสัยของบุคคลในฐานะเยี่ยงจำเลยพึงกระทำ จึงเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตาม ป.พ.พ. มาตรา 423 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดชื่อเสียงจากข้อความเท็จ: การเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ ถือเป็นการละเมิดที่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริงเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงของโจทก์ทั้งด้านการเมืองและด้านการประกอบอาชีพ โดยขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นรองหัวหน้าพรรคประชากรไทยและประกอบอาชีพเป็นแพทย์ การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของหนังสือพิมพ์และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ โจทก์ขอคิดค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 500,000 บาท เป็นการบรรยายฟ้องโดยแสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่า การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงของโจทก์ ทั้งในด้านการเมืองและการประกอบอาชีพแพทย์ ส่วนจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ แม้จะขอรวมกันมาโดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่า ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงในด้านการเมืองเป็นจำนวนเท่าใด ด้านประกอบอาชีพแพทย์เป็นจำนวนเท่าใดก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์โดยพาดหัวว่า บ.มินิแบร์โวยบุญเทียมทำแสบ ดอง เรื่องเที่ยวบินขนผลิตภัณฑ์ และมีข้อความต่อไปว่า บุญเทียม เขมาภิรัตน์ ถูกโวย อีกแล้ว บริษัทมินิแบร์ผู้ผลิตตลับลูกปืนร้องเรียนกระทรวงอุตสาหกรรมถูกบุญเทียมเตะถ่วงอนุมัติเที่ยวบินพิเศษขนผลิตภัณฑ์ส่งขายนอกการกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหาย ทำให้ไม่มั่นใจในการลงทุนในไทย เผยผจญปัญหามาปีเศษแล้ว และมีข้อความต่อไปว่า การขออนุมัติเที่ยวบินพิเศษนี้ กรมการบินพาณิชย์จะเสนอต่อนายแพทย์บุญเทียม เขมาภิรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แต่ติดขัดที่ นายแพทย์บุญเทียมกว่าจะลงนามเห็นชอบก็จวนถึงเวลาที่มินิแบร์ได้เตรียมการบินไว้แล้ว ซึ่งโจทก์กล่าวในฟ้องว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง จำเลยให้การยอมรับว่าได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ข้อความดังกล่าวไม่เป็นหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ การเสนอข่าวของจำเลยเป็นการชอบธรรมอันอยู่ในวิสัยซึ่งบุคคลในฐานะเช่นจำเลยกระทำได้ไม่ได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์เป็นความจริงเท่ากับยอมรับว่าไม่เป็นความจริง จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์เก็บเรื่องการขออนุมัติเที่ยวบินพิเศษเพื่อขนผลิตภัณฑ์ของบริษัทมินิแบร์ จำกัด และถ่วงเวลาไว้ ไม่รีบอนุมัติเที่ยวบินโดยเร็ว เป็นการกลั่นแกล้งบริษัทมินิแบร์ จำกัด ให้ได้รับความเสียหาย มิใช่การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรมอันอยู่ในวิสัยของบุคคลในฐานะเยี่ยงจำเลยพึงกระทำ จึงเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตาม ป.พ.พ. มาตรา 423 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3023/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ การพิสูจน์ความเสียหาย และการกำหนดค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสม
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อ เสียงของโจทก์ทั้งด้านการเมืองและด้านการประกอบอาชีพ โดยบรรยายถึงตำแหน่งทางการเมืองของโจทก์และอาชีพคือแพทย์ด้วยเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อ เสียงทั้งสองด้าน แม้โจทก์จะไม่ได้แยกค่าเสียหายที่ขอว่าจำนวนใดเป็นของด้านใด ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม การที่จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความซึ่งไม่เป็นความจริงที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงคมนาคมกลั่นแกล้งบริษัท บ. มิใช่การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต หรือติ ชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของบุคคลในฐานะเยี่ยงจำเลยพึงกระทำ แต่เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตาม ป.พ.พ.มาตรา 423.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา: การพิสูจน์ความเท็จและการบรรเทาความเสียหาย
จำเลยพิมพ์โฆษณาข้อความอันฝ่าฝืนความจริงทางหนังสือพิมพ์ซึ่งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดประกอบกันแล้วทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์เป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และเคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กำลังวางแผนจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยยอมรับหลักลัทธิคอมมิวนิสต์ การไขข่าวเช่นนี้ ในขณะที่ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ใช้บังคับอยู่ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่รังเกียจ ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์และอาจกระทบถึงทางเจริญหรือทางทำมาหาได้ของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่จำเลยได้ลงแก้ข่าวให้โจทก์ทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับติดต่อกันหลายวันอันเป็นการบรรเทาความเสียหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ศาลฎีกาจึงกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 50,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3925/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากการอายัดเช็ค การฟ้องร้อง และค่าเสียหายทางละเมิด
คดีก่อนโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายถ้วยแก้วขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและค่าเสียหายที่โจทก์ต้องไปซื้อถ้วยแก้วจากผู้อื่นแพงขึ้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดจากการที่โจทก์ต้องชำระเงินตามเช็คที่จำเลยโอนไปให้แก่บุคคลภายนอกและเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการที่โจทก์ต้องแต่งตั้งทนายความสู้คดีและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษา ซึ่งเป็นคนละเรื่องต่างประเด็นกัน และโจทก์เพิ่งชำระเงินตามเช็คไปหลังจากศาลชั้นต้นในคดีก่อนพิพากษาคดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 คำให้การของจำเลยต่อสู้ปฏิเสธฟ้องโจทก์แต่เพียงว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 และศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ดังนั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำจึงชอบแล้ว จำเลยผิดสัญญาโอนเช็คที่โจทก์จ่ายเป็นประกันการชำระราคาซื้อขายถ้วยแก้วให้บุคคลภายนอก โจทก์ถูกบุคคลภายนอกฟ้องและได้ชำระเงินตามเช็คให้บุคคลภายนอกไปแล้ว ค่าดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่บุคคลภายนอกผู้เป็นโจทก์นั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอากับจำเลยได้ เพราะไม่เป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการที่จำเลยผิดสัญญา ความรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเรื่องละเมิดเกี่ยวกับการทำให้เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณนั้น มีแต่เฉพาะการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 เท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรณีต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติยศเพราะถูกจำคุกตามคำพิพากษา ค่าจ้างทนายความต่อสู้คดีที่โจทก์ผู้สั่งจ่ายถูกผู้ทรงฟ้องไม่ใช่เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาและแม้จะเป็นเรื่องละเมิดก็นับว่าเป็นค่าเสียหายที่ไกลเกินกว่าเหตุ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเอาแก่จำเลย
of 10