พบผลลัพธ์ทั้งหมด 108 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6239/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร: อำนาจปกครองของมารดา, ความยินยอม, และการกระทำชำเรา
ผู้เสียหายอายุ 15 ปีเศษ ไปอยู่กับญาติซึ่งบ้านอยู่ใกล้กันไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้เสียหายทะเลาะกับมารดา หรือมารดานำไปฝาก ก็ไม่ถือว่าพ้นจากอำนาจปกครองของมารดา การที่ญาติของผู้เสียหายอนุญาตให้ผู้เสียหายไปเอาหม้อยากับจำเลยแล้วจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจยินยอมก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากมารดาผู้เสียหาย และทำให้กระทบกระเทือนต่ออำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6239/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำชำเราผู้เยาว์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้มีอำนาจปกครอง ถือเป็นการพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร
ผู้เสียหายอายุ 15 ปีเศษ ไปอยู่กับญาติซึ่งบ้านอยู่ใกล้กันไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้เสียหายทะเลาะกับมารดา หรือมารดานำไปฝากก็ไม่ถือว่าพ้นจากอำนาจปกครองของมารดา การที่ญาติของผู้เสียหายอนุญาตให้ผู้เสียหายไปเอาหม้อยากับจำเลย แล้วจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจยินยอมก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากมารดาผู้เสียหาย และทำให้กระทบกระเทือนต่ออำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพรากผู้เยาว์, พาไปเพื่อการอนาจาร, และร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโดยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษไปให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยกรรมหนึ่ง และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งด้วย
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก ตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก ตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์, พาไปเพื่อการอนาจาร, ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมโดยการพาผู้เสียหายไปหาผู้กระทำผิด
การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษ ไปให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยกรรมหนึ่ง และจำเลยที่ 1ยังมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งด้วย
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรกตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรกตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4641/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์, ข่มขืน, หน่วงเหนี่ยวกักขัง: ผู้เสียหายไม่เต็มใจ การกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว
ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ยินยอมไปกับจำเลยกับพวกก็เพราะถูกจำเลยกับพวกหลอกลวงว่าจะไปส่ง แต่จำเลยกับพวกกลับพาไปในที่เกิดเหตุแล้วร่วมกันขู่เข็ญฉุดคร่าผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคท้าย
แม้ว่าหลังจากจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว จำเลยกับพวกจะพาผู้เสียหายไปส่งก็ตาม แต่ก่อนจะไปส่ง จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายไปในที่เกิดเหตุและควบคุมผู้เสียหายไว้เพื่อให้จำเลยกับพวกมีโอกาสผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายไม่อยู่ในภาวะที่จะขัดขืนหรือหลบหนีไปได้ ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก แต่ความผิดตามมาตรา 310 วรรคแรก กับความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก เป็นการกระทำขณะเดียวกันต่อเนื่องกันไป เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว
แม้ว่าหลังจากจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว จำเลยกับพวกจะพาผู้เสียหายไปส่งก็ตาม แต่ก่อนจะไปส่ง จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายไปในที่เกิดเหตุและควบคุมผู้เสียหายไว้เพื่อให้จำเลยกับพวกมีโอกาสผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายไม่อยู่ในภาวะที่จะขัดขืนหรือหลบหนีไปได้ ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก แต่ความผิดตามมาตรา 310 วรรคแรก กับความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก เป็นการกระทำขณะเดียวกันต่อเนื่องกันไป เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4641/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์, ข่มขืน, และหน่วงเหนี่ยวกักขัง โดยหลอกลวงและใช้กำลัง
ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ยินยอมไปกับจำเลยกับพวกก็เพราะถูกจำเลยกับพวกหลอกลวงว่าจะไปส่ง แต่จำเลยกับพวกกลับพาไปในที่เกิดเหตุแล้วร่วมกันขู่เข็ญฉุดคร่าผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318วรรคท้าย
แม้ว่าหลังจากจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว จำเลยกับพวกจะพาผู้เสียหายไปส่งก็ตาม แต่ก่อนจะไปส่ง จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายไปในที่เกิดเหตุและควบคุมผู้เสียหายไว้เพื่อให้จำเลยกับพวกมีโอกาสผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายไม่อยู่ในภาวะที่จะขัดขืนหรือหลบหนีไปได้ ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรกแต่ความผิดตามมาตรา310 วรรคแรก กับความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก เป็นการกระทำขณะเดียวกันต่อเนื่องกันไป เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว.
แม้ว่าหลังจากจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว จำเลยกับพวกจะพาผู้เสียหายไปส่งก็ตาม แต่ก่อนจะไปส่ง จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายไปในที่เกิดเหตุและควบคุมผู้เสียหายไว้เพื่อให้จำเลยกับพวกมีโอกาสผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายไม่อยู่ในภาวะที่จะขัดขืนหรือหลบหนีไปได้ ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรกแต่ความผิดตามมาตรา310 วรรคแรก กับความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก เป็นการกระทำขณะเดียวกันต่อเนื่องกันไป เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4465/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ แม้ผู้เสียหายยินยอม และบิดามารดาละเลยการดูแล
ผู้เสียหายอายุ 16 ปีเศษ ยังอาศัยและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดา แม้ผู้เสียหายจะไปเที่ยวที่ไหน กลับเมื่อใดก็ได้ผู้เสียหายก็ยังอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพบกับผู้เสียหายที่งานบวชพระแล้วพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราด้วยความสมัครใจของผู้เสียหายย่อมเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดาจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็ม ใจไปด้วยหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 319 ศาลย่อมปรับบทลงโทษตามมาตรา 319 ได้ มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4465/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล่วงละเมิดอำนาจปกครองผู้เยาว์และการกระทำชำเราโดยความสมัครใจ
ผู้เสียหายอายุ 16 ปีเศษ ยังอาศัยและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดา แม้บิดามารดาจะให้อิสระแก่ผู้เสียหายโดยผู้เสียหายจะไปเที่ยวที่ไหนกลับเมื่อใดไม่เคยสนใจสอบถามหรือห้ามปราม ผู้เสียหายก็ยังอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพบกับผู้เสียหายที่งานบวชพระแล้วพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราด้วยความสมัครใจของผู้เสียหาย ย่อมเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดา จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ศาลย่อมปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ได้มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง.(วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2530)
การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ศาลย่อมปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ได้มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง.(วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2530)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4465/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์ แม้ผู้เยาว์ยินยอม ก็ถือว่าเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดา
ผู้เสียหายอายุ 16 ปีเศษ ยังอาศัยและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดา แม้บิดามารดาจะให้อิสระแก่ผู้เสียหายโดยผู้เสียหายจะไปเที่ยวที่ไหนกลับเมื่อใดไม่เคยสนใจสอบถามหรือห้ามปราม ผู้เสียหายก็ยังอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพบกับผู้เสียหายที่งานบวชพระแล้วพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราด้วยความสมัครใจของผู้เสียหาย ย่อมเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดา จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ศาลย่อมปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ได้มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง
(วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2530)
การพรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจไปด้วยหรือไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ศาลย่อมปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ได้มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง
(วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2530)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์ยินยอม ศาลลงโทษตามมาตรา 319 ได้
ผู้เสียหายอายุ 15 ปี สมัครใจไปอยู่กับจำเลยที่ 1 และยินยอมร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 1 โดยสมัครใจ จำเลยไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มีภริยาอยู่แล้วไม่คิดจะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายอย่างจริงจังจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ตาม ป.อ. มาตรา 319
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 318 โดยอ้างว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่การที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยลักษณะที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่เต็มใจไปด้วย ป.อ. ก็บัญญัติเป็นความผิดอยู่แล้ว ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่าได้.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 318 โดยอ้างว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่การที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยลักษณะที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่เต็มใจไปด้วย ป.อ. ก็บัญญัติเป็นความผิดอยู่แล้ว ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่าได้.