พบผลลัพธ์ทั้งหมด 186 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5487/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการพยายามจำหน่าย ศาลตัดสินโทษประหารชีวิต
จำเลยทั้งสองสมคบกันเป็นตัวการร่วมกับพวกกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ทั้งเฮโรอีนของกลางมีน้ำหนักสารบริสุทธิ์ถึง 6,000 กรัม ซึ่งเกินกว่า 20 กรัม จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายโดยเด็ดขาดที่ให้ถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกด้วย ส่วนความผิดฐานสมคบเป็นตัวการร่วมกับพวกจำหน่ายเฮโรอีนนั้น จำเลยทั้งสองกับพวกส่งเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวไปให้แก่ อ. โดยมีเจตนาเพื่อที่จะให้ อ. ส่งมอบเฮโรอีนแก่ลูกค้าผู้ซื้อต่อไป ดังนั้น ระหว่างจำเลยทั้งสองกับ อ. ต้องถือว่าเป็นการส่งมอบเฮโรอีนของกลางระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกันเองซึ่งไม่ถือว่าเป็นการจำหน่าย จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีน แต่การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งเฮโรอีนของกลางไปยังบริษัทบริษัทหนึ่งที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อส่งมอบให้แก่ อ. เพื่อจะจัดส่งให้แก่ลูกค้าต่อไปนั้น แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีน และการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการส่งมอบเฮโรอีนใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เลยขั้นตระเตรียมการแล้ว จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเฮโรอีนจำนวนเดียวกับที่ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นอีกฐานหนึ่งด้วย แต่ความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเฮโรอีนเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5093/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าโดยมีเจตนาทำร้าย, การกระทำโดยบันดาลโทสะไม่สำเร็จ, การรอการลงโทษจำคุกสำหรับผู้กระทำผิดร่วม
ก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปตามถนนทางสาธารณะกับเพื่อนและได้พบกับจำเลยทั้งสามโดยบังเอิญ จำเลยทั้งสามขับรถจักรยานยนต์ไล่ติดตามรถโจทก์ร่วมไปเป็นระยะทางไกลและนานพอสมควร อ้างว่าเพื่อสอบถามโจทก์ร่วมว่าด่าว่าอะไรจำเลยที่ 1 เมื่อถึงที่เกิดเหตุรถไล่ตามกันทัน จำเลยที่ 1 ใช้มีดดาบฟันถูกโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส พฤติการณ์ส่อแสดงว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันไล่ติดตามไปเพื่อทำร้ายโจทก์ร่วมมิใช่เพื่อสอบถาม ส่วนเหตุการณ์ที่โจทก์ร่วมกับพวกร่วมกันทำร้ายจำเลยที่ 1 ก็เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุคดีนี้เป็นเวลานานถึง 1 ปีมาแล้ว จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าใช้มีดดาบฟันโจทก์ร่วมเพราะเหตุบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 ไม่ได้ เพราะมิใช่การกระทำความผิดต่อโจทก์ร่วมผู้ข่มเหงตนในขณะนั้น
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามจะได้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน แต่จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายอยู่ตรงกลาง และมีจำเลยที่ 3 นั่งซ้อนท้ายสุดในขณะที่ไล่ติดตามรถโจทก์ร่วม โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้เป็นผู้ใช้อาวุธมีดดาบฟันโจทก์ร่วมด้วยตนเองแต่อย่างใด ประกอบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 อายุยังน้อย และไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เพื่อเห็นแก่อนาคตของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อศาลรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 1 จึงเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย และแม้คดีของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะยุติไปโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้อุทธรณ์และฎีกาก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามจะได้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน แต่จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายอยู่ตรงกลาง และมีจำเลยที่ 3 นั่งซ้อนท้ายสุดในขณะที่ไล่ติดตามรถโจทก์ร่วม โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้เป็นผู้ใช้อาวุธมีดดาบฟันโจทก์ร่วมด้วยตนเองแต่อย่างใด ประกอบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 อายุยังน้อย และไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เพื่อเห็นแก่อนาคตของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อศาลรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 1 จึงเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย และแม้คดีของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะยุติไปโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้อุทธรณ์และฎีกาก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5004/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษคดีเกี่ยวกับยาเสพติด การปรับบทลงโทษ และการรอการลงโทษตามดุลพินิจของศาล
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายย่อมรวมถึงการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยถือได้ว่าความผิดตามที่โจทก์ฟ้องรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง จึงไม่ใช่ความผิดที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ แม้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ จะบัญญัติความผิดทั้งสองฐานไว้คนละมาตราก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลล่างทั้งสองย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งมีบทลงโทษเบากว่าได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่ไม่ได้กล่าวในฟ้อง
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษและลงโทษสถานเบา แม้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อจำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายขึ้นมาด้วย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจที่จะกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมได้
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษและลงโทษสถานเบา แม้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อจำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายขึ้นมาด้วย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจที่จะกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4289/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเป็นเรื่องที่กฎหมายห้าม
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย และแม้คดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม คดีก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4027/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสโดยมิได้มีเจตนาเป็นสามีภริยา และการคืนเงินบำเหน็จตกทอดฐานลาภมิควรได้
จำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอก ช. ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญของกองทัพเรือโจทก์ เมื่อเรือเอก ช. ถึงแก่ความตายจำเลยได้ขอรับเงินบำเหน็จตกทอดจากโจทก์ และโจทก์จ่ายเงินบำเหน็จตกทอดให้แก่จำเลย 207,750 บาท ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสโดยมิได้มีเจตนาที่จะเป็นสามีภริยากัน หากแต่กระทำเพื่อต้องการได้รับเงินบำเหน็จตกทอด การสมรสของจำเลยฝ่าฝืนต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1458 ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยคืนเงินดังกล่าว เมื่อศาลพิพากษาว่าการสมรสตกเป็นโมฆะจึงไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคหนึ่ง และมีผลเท่ากับจำเลยกับเรือเอก ช. มิได้เป็นสามีภริยากันมาแต่แรกจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวและสิทธิของจำเลยดังกล่าวก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1499 เพราะจำเลยมิได้สมรสโดยสุจริต จำเลยจึงต้องคืนเงินบำเหน็จตกทอดให้แก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ตามาตรา 172 วรรคสอง ประกอบมาตรา 406
จำเลยมีหน้าที่จะต้องคืนเงินแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้เรียกคืนก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดต่อเมื่อมีการเรียกคืนแล้ว แต่จำเลยไม่คืนให้ จึงจะถือว่าจำเลยตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่ถูกเรียกคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 415 วรรคสอง และตกเป็นผู้ผิดนัดจะต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่เวลานั้นเป็นต้นไปตามมาตรา 203 วรรคแรก และมาตรา 204 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
จำเลยมีหน้าที่จะต้องคืนเงินแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้เรียกคืนก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดต่อเมื่อมีการเรียกคืนแล้ว แต่จำเลยไม่คืนให้ จึงจะถือว่าจำเลยตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่ถูกเรียกคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 415 วรรคสอง และตกเป็นผู้ผิดนัดจะต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่เวลานั้นเป็นต้นไปตามมาตรา 203 วรรคแรก และมาตรา 204 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3662-3663/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขพินัยกรรมด้วยยาลบหมึกก่อนลงลายมือชื่อและประทับตรา ไม่ถือเป็นการแก้ไขที่ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ
ก่อนที่ ล. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการเขตตลิ่งชันจะลงลายมือชื่อและประทับตราสำนักงานเขตตลิ่งชัน ตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 1658 (4) บัญญัติ ล. ได้ดำเนินการให้แก้ไขพินัยกรรมที่พิมพ์ผิดพลาดโดยใช้ยาลบหมึกกลบถ้อยคำแล้วพิมพ์ใหม่เป็นต้นฉบับหรือคู่ฉบับ แก้ไขชื่อจาก "นายสัมพันธ์" เป็น "นายสมพันธ์" เพื่อให้ถูกต้องตามความจริง โดยผู้ทำพินัยกรรม (นายสัมพันธ์) และพยานรู้เห็น จากนั้น ล. จึงลงลายมือชื่อและประทับตราสำนักงานเขตตลิ่งชัน ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นการขูด ลบ ตก เติม หรือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นซึ่งพินัยกรรม จึงไม่จำต้องให้ผู้ทำพินัยกรรม พยาน และ ล. ลงลายมือชื่อกำกับตาม ป.พ.พ. มาตรา 1658 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3563/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าจากพฤติกรรมเหยียดหยามและหมิ่นประมาท ศาลพิจารณาพฤติการณ์โดยรวมและเหตุแห่งการกระทำ
โจทก์มีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้หญิงอื่น จำเลยหึงหวงเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมาโดยตลอด ณ. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์เคยมาขอยืมเงินโจทก์ไปแล้วยังใช้คืนไม่หมด ต่อมา ณ. ขอให้โจทก์นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองเพื่อนำเงินกู้มาเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานต่างประเทศอีก แต่จำเลยไม่ยอมลงชื่อให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง จึงเกิดทะเลาะกัน โจทก์จำเลยเขียนบันทึกโต้ตอบกันโดยโจทก์ด่าจำเลยก่อนว่าโจทก์กับจำเลยเป็นบุคคลคนละชั้นกัน จำเลยจึงลำเลิกบุญคุณด่ากลับทำนองว่าโดยเลี้ยงดูส่งเสียโจทก์มาก่อน การที่จำเลยพูดห้ามบุตรสาวจำเลยไม่ให้เข้าใกล้โจทก์และว่าไอ้คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมดนั้น เป็นการกระทำไปโดยเจตนาเตือนให้บุตรสาวระมัดระวังตัวไว้ เพียงแต่ใช้ถ้อยคำอันไม่สมควรเยี่ยงมารดาทั่วไปเท่านั้น นอกจากนี้ การที่จำเลยพูดว่าทำนองเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์เกิดจากโจทก์และมารดาโจทก์มีส่วนร่วมก่อให้จำเลยกระทำการดังกล่าวอยู่มาก จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงอันโจทก์จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3268/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมโดยปริยายให้ผู้อื่นใช้ยานพาหนะก่อความผิด ทำให้เจ้าของไม่มีสิทธิขอคืน
ผู้ร้องเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 เคยใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปซื้อของและเคยจับได้ว่าจำเลยที่ 1 แอบเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปขับในเวลากลางคืน ซึ่งไม่ปรากฏผู้ร้องได้ดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำดังกล่าวขึ้นอีกแต่อย่างใด แต่กลับปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 1 สามารถนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดได้อีก ทั้งที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์พักอาศัยอยู่บ้านเดียวกับผู้ร้อง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าผู้ร้องยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลาตามที่จำเลยที่ 1 ต้องการ โดยไม่คำนึงถึงว่าจำเลยที่ 1 จะนำไปใช้ในกิจการใด การที่จำเลยที่ 1 นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขับแข่งกับพวกบนทางเดินรถสาธารณะในเวลากลางคืน ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 โดยปริยาย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนการชำระเงิน และการนำสืบหักล้างพยานเอกสาร
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3968 กับจำเลยทั้งห้าในราคา 2,000,000 บาท ต่อมาโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงอื่นให้จำเลยทั้งห้าแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 3968 โดยจำเลยทั้งห้ายอมรับไว้ จึงเป็นการที่เจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์รับชำระหนี้จากจำเลยทั้งห้าไปเพียงบางส่วน เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท เท่านั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งห้าชำระหนี้ค่าที่ดินในส่วนที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระอีก 640,000 บาท ตามสัญญาจะซื้อจะขายเดิมได้
แม้สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินจะระบุว่า จำเลยทั้งห้าชำระค่าที่ดินครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งห้าและข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินดังกล่าวแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 3968 โดยมีข้อสัญญาว่าจำเลยทั้งห้าต้องชำระค่าที่ดินที่เหลือ แต่จำเลยทั้งห้ายังไม่ได้ชำระ กรณีถือได้ว่า โจทก์ได้นำสืบถึงความไม่ถูกต้องแห่งพยานเอกสารนั้น อันเป็นการนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 แล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งชั้นอุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 161 และมาตรา 167 ที่กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
แม้สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินจะระบุว่า จำเลยทั้งห้าชำระค่าที่ดินครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งห้าและข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินดังกล่าวแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 3968 โดยมีข้อสัญญาว่าจำเลยทั้งห้าต้องชำระค่าที่ดินที่เหลือ แต่จำเลยทั้งห้ายังไม่ได้ชำระ กรณีถือได้ว่า โจทก์ได้นำสืบถึงความไม่ถูกต้องแห่งพยานเอกสารนั้น อันเป็นการนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 แล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งชั้นอุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 161 และมาตรา 167 ที่กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีหมั้นและสินสอดที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท และไม่ใช่คดีสิทธิในครอบครัว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนของหมั้น สินสอด และชดใช้ค่าเสียหายเพราะผิดสัญญาหมั้นแก่โจทก์รวมเป็นเงิน 169,500 บาท เป็นคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท และไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง