คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สิริรัตน์ จันทรา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 270 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15641/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการไม่ส่งมอบงานก่อสร้าง ค่าเช่าบ้านข้าราชการเป็นค่าเสียหายพิเศษ จำเลยต้องคาดเห็นได้
โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการในสังกัดโจทก์ แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบก่อนหรือขณะทำสัญญาว่าโจทก์จะให้ข้าราชการในสังกัดโจทก์เข้าอยู่อาศัยทันทีเมื่อจำเลยก่อสร้างอาคารดังกล่าวแล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาเนื่องจากโจทก์มีภาระต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ทั้งเมื่อจำเลยก่อสร้างอาคารไม่แล้วเสร็จตามสัญญา โจทก์ยังขยายเวลาให้จำเลยอีก 3 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าการที่จำเลยก่อสร้างอาคารไม่แล้วเสร็จโจทก์จะต้องจ่ายค่าเช่าบ้านให้แก่ข้าราชการในสังกัดโจทก์เป็นเงินเดือนละเท่าใด ค่าเช่าบ้านดังกล่าวจึงไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ แต่เป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ซึ่งโจทก์จะเรียกจากจำเลยได้เมื่อจำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนี้ล่วงหน้าก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 วรรคสอง แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้คาดเห็นหรือควรได้คาดเห็นพฤติการณ์พิเศษดังกล่าว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15025-15026/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งความรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิดหลายคน ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาให้เป็นไปตามสัดส่วนที่เหมาะสม
คดีนี้ ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 กึ่งหนึ่งของค่าเสียหายที่กำหนดให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ส่วนที่เหลือให้จำเลยที่ 4 และที่ 6 รับผิดกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งให้จำเลยที่ 7 รับผิด โจทก์ที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์คัดค้านแต่อย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้หักจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กึ่งหนึ่งตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้ว ให้จำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 535,000 บาท ต่อโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 535,000 บาท จึงมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยที่ 4 และที่ 6 กับจำเลยที่ 7 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กึ่งหนึ่งแทนที่จะรับผิดเพียงหนึ่งในสี่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และเมื่อหนี้ดังกล่าวศาลชั้นต้นแบ่งความรับผิดให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 4 ถึงที่ 6 และที่ 7 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว จึงไม่ใช่การชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดังกล่าว จึงเป็นผลให้จำเลยที่ 4 และที่ 6 กับจำเลยที่ 7 ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เกินไปกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดโดยโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในส่วนนี้จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 4 และที่ 6 ฟังขึ้นบางส่วน และปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ 7 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14660/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษเจ้าพนักงานรัฐในคดียาเสพติด และการรับฟังพยานหลักฐานเพื่อลงโทษจำเลย
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100 บัญญัติว่า "กรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือข้าราชการ หรือพนักงานองค์การหรือหน่วยงานของรัฐผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษ หรือสนับสนุนในการกระทำดังกล่าว อันเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น" การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใหญ่บ้าน จึงหาใช่บุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตราดังกล่าวไม่ ส่วนจำเลยที่ 3 โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในมาตราดังกล่าวอย่างใด จึงไม่อาจเพิ่มโทษตามบทกฎหมายดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13923/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิยึดหน่วงราคาและการยกเว้นการชำระหนี้เนื่องจากสินค้าชำรุด
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ ต่อมาก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนด จำเลยพบว่าสินค้าที่โจทก์ส่งมอบแก่จำเลยตามใบสั่งซื้อ มีวาล์ว 10 ตัว จากจำนวนที่สั่งซื้อ 20 ตัว ชำรุดบกพร่องใช้การไม่ได้ ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้ขายจะต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงชอบที่จะยึดหน่วงราคาที่ยังไม่ได้ชำระไว้ได้ทั้งหมดหรือบางส่วนตามมาตรา 488 การที่จำเลยออกเช็คโดยจำนวนเงินตามเช็คเป็นการชำระค่าสินค้าทั้งหมดตามใบสั่งซื้อให้แก่โจทก์ แต่มีสินค้าบางส่วนชำรุดบกพร่อง อันมีเหตุให้จำเลยไม่ต้องชำระเงินเต็มตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในเช็คพิพาท จำเลยจึงชอบที่จะมีคำสั่งให้ธนาคารห้ามการใช้เงิน ต่อมาเมื่อเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คพิพาทจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12872/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา: ยักยอกทรัพย์ โจทก์ร่วมมีสิทธิร้องทุกข์ได้
โจทก์มิได้ฟ้องผู้กู้เงินจากโจทก์ร่วมในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 หากแต่ฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานยักยอก ซึ่งปัญหานี้โจทก์ร่วมมิได้มีส่วนร่วมกระทำผิดกับจำเลยแต่อย่างใด โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายมีสิทธิร้องทุกข์ และพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12460/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกเงินค่าสินค้าคืน กรณีหักกลบหนี้ เป็นอายุความ 10 ปี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ซื้อสินค้าจากจำเลยซึ่งมีเงื่อนไขในการชำระค่าสินค้าโดยให้โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยภายใน 60 วัน นับแต่วันรับสินค้าในแต่ละครั้ง และโจทก์มีสิทธิตรวจนับและรับรองสินค้าตลอดจนคุณภาพและสามารถคืนสินค้าได้ในกรณีที่สินค้าหมดอายุ ชำรุด หรือโจทก์จัดรายการส่งเสริมการขาย เมื่อรายการนั้นจบลงและยังมีสินค้าของจำเลยเหลืออยู่จำเลยมีหน้าที่จะต้องรับสินค้านั้นคืน โดยโจทก์จะหักกลบเงินค่าคืนสินค้ากับเงินที่โจทก์ต้องชำระค่าสินค้าให้จำเลยในงวดต่อไป จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดคืนเงินค่าสินค้าที่โจทก์ได้ชำระค่าสินค้าให้แก่จำเลยเมื่อหักกลบกับเงินที่โจทก์จะต้องชำระค่าสินค้าให้แก่จำเลยในงวดต่อไป หาใช่เรื่องฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องไม่ จึงจะนำอายุความ 1 ปี กรณีข้อรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องตาม ป.พ.พ. มาตรา 474 มาใช้บังคับหาได้ไม่ และมิใช่กรณีที่โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาเงินค่าของที่ได้ส่งมอบแก่จำเลยจึงจะนำอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) มาใช้บังคับหาได้ไม่อีกเช่นกัน การที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์จ่ายให้จำเลยเพื่อชำระราคาค่าสินค้าเมื่อหักกลบกับเงินที่โจทก์จะต้องชำระค่าสินค้าให้แก่จำเลยในงวดต่อไปคืน ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9649/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้: หนังสือรับสภาพชำระหนี้ใหม่ไม่ระงับหนี้เดิม โจทก์มีอำนาจฟ้องลูกหนี้เดิมได้
แม้จำเลยที่ 2 จะทำหนังสือรับสภาพชำระหนี้ต่อโจทก์ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาชำระหนี้แทนให้ไว้แก่โจทก์ก็ตาม แต่ตามหนังสือรับสภาพชำระหนี้ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าโจทก์ตกลงให้หนี้ของจำเลยที่ 1 ระงับไปโดยให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 กรณีถือไม่ได้ว่ามีการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยที่ 1 มาเป็นจำเลยที่ 2 หนังสือสัญญาชำระหนี้แทนที่จำเลยที่ 1 ทำไว้แก่โจทก์จึงไม่ระงับ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6861/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กจากความรุนแรงในครอบครัวและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ปกครอง
แม้ขณะผู้ร้องยื่นฎีกา ผู้เยาว์อยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์เนื่องจากศาลล่างมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ถูกร้องซึ่งเป็นบิดาจะพ้นจากภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อผู้เยาว์ ดังนั้นเมื่อศาลเห็นว่า พฤติการณ์ของผู้ถูกร้องอยู่ในภาวะที่สามารถแก้ไขได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวเองและได้รับการเตรียมความพร้อมให้มีทักษะในการเลี้ยงดูผู้เยาว์อย่างเหมาะสม การเข้ารับการตรวจประเมินกับแพทย์ทางจิตเวชถือเป็นการเข้ารับคำปรึกษาเพื่อให้ผู้ถูกร้องมีทัศนคติต่อตนเองและผู้เยาว์อย่างถูกต้อง ที่ศาลล่างทั้งสองให้ผู้ถูกร้องไปรับการตรวจประเมินกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทักษะในการเลี้ยงดูบุตร โดยให้ผู้ถูกร้องอยู่ในกำกับดูแลของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 จึงนับว่าเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6151/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมชิงทรัพย์-การใช้รถจักรยานยนต์-การลดโทษเยาวชน-การเปลี่ยนโทษเป็นฝึกอบรม
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นคนที่ถูกผู้อื่นหลอกลวงได้ง่ายและพฤติการณ์ในคดีก็ได้ความว่าอาของจำเลยเป็นผู้ใช้ให้จำเลยไปชิงทรัพย์ และอาของจำเลยขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปทิ้งให้อยู่ในที่เกิดเหตุ จนกระทั่งจำเลยมาชิงทรัพย์ผู้เสียหายแล้วหลบหนีไปเพียงลำพัง โดยอาของจำเลยไม่ได้กลับมาที่เกิดเหตุอีกเลย จำเลยกับอาของจำเลยจึงมิใช่ตัวการร่วมกันชิงทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 83 แต่เป็นกรณีจำเลยชิงทรัพย์ตามที่อาของจำเลยใช้เท่านั้น และตามพฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์อันจะเป็นเหตุให้จำเลยต้องรับโทษหนักขึ้น ตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี
ปัญหาว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับผู้อื่นชิงทรัพย์และปัญหาว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4110/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันขายวัตถุออกฤทธิ์และอำนาจการริบของศาล: กรณีจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานขายไดอาซีแพม
จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 จำเลยที่ 2 จึงมียาคลายเครียดไว้ในครอบครองเพื่อขายได้ การที่จำเลยที่ 1 ขายยาคลายเครียดให้สายลับผู้ล่อซื้อในขณะที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้อยู่ที่ร้านขายยาเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียว และการกระทำของจำเลยที่ 1 ก็ไม่อาจเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามมาตรา 67 วรรคหนึ่ง และมาตรา 108 ได้ เพราะมาตรา 67 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้เภสัชกรขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 แก่ผู้ที่ไม่มีใบสั่งยา ส่วนมาตรา 108 กำหนดโทษแก่เภสัชกรผู้ฝ่าฝืน เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นเภสัชกรจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตราดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 1 คงเป็นความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ในระหว่างที่เภสัชกรมิได้อยู่ประจำควบคุมกิจการตามมาตรา 26 วรรคสอง และมาตรา 94 เท่านั้น
ตามมาตรา 116 แห่ง พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2543 มาตรา 4 ให้ริบวัตถุออกฤทธิ์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดเท่านั้น ไม่ได้ให้ริบตกเป็นของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนเมื่อริบแล้วกระทรวงสาธารณสุขจะให้ทำลายหรือนำไปใช้ประโยชน์นั้นเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการตามมาตรา 116 ทวิ
of 27