คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 318 วรรคสาม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 17 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6622/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่อค้ากำไร: การกระทำโดยใช้อุบายลวงและส่งมอบให้ผู้อื่น
จำเลยใช้อุบายว่าจะให้เงินแก่ผู้ตายอายุ 16 ปีลวงให้ผู้ตายตามไปและปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับชาย 2 คน ซึ่งเป็นพวกของจำเลยโดยเห็นแก่เงินซึ่งชายทั้งสองจะมอบให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทน จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อค้ากำไร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1213/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราผู้เยาว์โดยใช้กำลังประทุษร้าย แม้ผู้เสียหายหมดสติก็มี罪
ผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี เข้าไปนั่งรวมอยู่ในกลุ่มจำเลยเพราะถูกชายในกลุ่มจำเลยหลอก ผู้เสียหายไม่ได้มีความสมัครใจที่จะเข้าไปนั่งรวมกลุ่มและไม่สมัครใจที่จะไปกับพวกของจำเลยเมื่อผู้เสียหายเดินกลับบ้าน พวกจำเลยเอายาสลบโปะ จมูกจนหมดสติไปผู้เสียหายรู้สึกตัวอีกครั้งพบว่านอนอยู่บนเตียง เสื้อผ้าถูกถอดออกหมด รู้สึกเจ็บที่อวัยวะเพศ มีน้ำไหลออกมาจากอวัยวะเพศเลอะ ตามช่วงขาจำเลยกับพวกอยู่ในห้องด้วย จำเลยนั่งอยู่ปลายเตียง ขณะนั้นทุกคนรวมทั้งจำเลยไม่สวมเสื้อ สวมแต่กางเกงในตัวเดียว ตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าผู้เสียหายได้ถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยชายในกลุ่มนั้นซึ่งมีจำเลยรวมอยู่ด้วยแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันกับพวกฉุดคร่าพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วย ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังและข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน อย่างไรก็ดีผู้เสียหายไม่อาจยืนยันได้ว่ามีใครในพวกจำเลยบ้างจำนวนกี่คนที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เพราะขณะนั้นผู้เสียหายหมดสติไป จึงยังไม่พอให้ฟังว่าพวกของจำเลยอย่างน้อยตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว อันจะถือว่าเป็นการข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงได้ จำเลยจึงยังไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร: การกระทำของผู้ร่วมกระทำความผิดและการยินยอมของมารดา
มารดาผู้เสียหายอนุญาตให้จำเลยทั้งสองพาผู้เสียหายอายุ 16 ปีไปเดินเที่ยวเมื่อผู้เสียหายจะกลับบ้าน จำเลยทั้งสองไม่ยอมให้กลับแต่พาผู้เสียหายไปบ้านที่เกิดเหตุเพื่อให้ พ. ร่วมประเวณีเป็นการพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปีไปเพื่อการอนาจาร.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราและพรากผู้เยาว์: การกระทำร่วมกันของจำเลยและการมีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่ออนาจาร
ส. มารดาผู้เสียหายได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสองพาผู้เสียหายไปเดิน เที่ยวเท่านั้น เมื่อผู้เสียหายจะกลับบ้านจำเลยทั้งสองไม่ยอมให้กลับ แต่พาผู้เสียหายไปยังบ้านที่เกิดเหตุ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองทำไปโดยลำพังจะถือว่า ส. รู้เห็นยินยอมไม่ได้จำเลยทั้งสองมีเจตนาพาผู้เสียหายไปบ้านเกิดเหตุเพื่อให้ พ.ร่วมประเวณี การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม จำเลยทั้งสองได้ช่วย กันจับมือผู้เสียหายไว้ให้ พ. ข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยทั้งสองจึงเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3894/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: การกระทำที่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลบหนีถือเป็นการพรากจากผู้ดูแลหรือไม่
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 และ 318 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตาม มาตรา 318 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าเป็นความผิด 2 กระทง และแก้บทกฎหมายทั้ง 2 มาตราดังกล่าว โดยระบุวรรคเสียให้ชัดเจน แต่คงให้ลงโทษจำคุกจำเลยรวมแล้วมีกำหนด 4 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อย โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีคดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
การที่ผู้เสียหายกระโดดลงจากเรือนหนีไปเกิดเพราะจำเลยเป็นต้นเหตุให้หนี ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผู้เสียหายเองและยังหลบหนีไปไม่ไกลจะถือว่าขณะนั้นผู้เสียหายไม่ได้อยู่ในความปกครองของโจทก์ร่วมไม่ได้ และการที่ต่อจากนั้น จำเลยเข้าไปจับผมผู้เสียหายดึงไปทั้งขู่ไม่ให้ร้อง และพาผู้เสียหายไปที่ทุ่งนาห่างบ้านเกิดเหตุประมาณ 1 เส้น เพื่อกระทำอนาจารและพยายามข่มขืนผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา หรือผู้ดูแลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลอกลวงผู้เยาว์เพื่อค้าประเวณีถือเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ
จำเลยกับพวกใช้อุบายหลอกลวงนางสาว ป. กับนางสาว จ.ผู้เยาว์อ้างว่าจะพาไปทำงานแต่กลับพาไปขายให้เป็นหญิงโสเภณี ดังนี้เห็นได้ว่า ที่จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์ทั้งสองก็โดยเจตนาจะให้เกิดผลต่างกรรมกัน แม้จะพาผู้เยาว์ทั้งสองไปในครั้งเดียวคราวเดียวก็เป็นการกระทำต่อผู้เยาว์แต่ละคนโดยเฉพาะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ จำเลยมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารรวม 2 กระทง ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสองกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดต่อผู้เยาว์หลายกรรมต่างวาระ ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและพรากผู้เยาว์
จำเลยกับพวกใช้อุบายหลอกลวงนางสาว ป. กับนางสาว จ. ผู้เยาว์อ้างว่าจะพาไปทำงานแต่กลับพาไปขายให้เป็นหญิงโสเภณี ดังนี้ เห็นได้ว่า ที่จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์ทั้งสองก็โดยเจตนาจะให้เกิดผลต่างกรรมกัน แม้จะพาผู้เยาว์ทั้งสองไปในครั้งเดียวคราวเดียวก็เป็นการกระทำต่อผู้เยาว์แต่ละคนโดยเฉพาะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ จำเลยมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารรวม 2 กระทง
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสองกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
of 2