พบผลลัพธ์ทั้งหมด 539 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5263/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: ข้อเรียกร้องที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ไม่สามารถนำมาวินิจฉัยได้
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสองไม่เหมาะสมจะเป็นผู้จัดการมรดก ขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องทั้งสองและแต่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดก โดยมิได้มีคำขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องทั้งสองด้วย ปัญหาว่าผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องทั้งสองหรือไม่ ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและแม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5198/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ถอนฟ้อง, ดุลพินิจศาล, การไม่เสียเปรียบจากการเจรจา, การขอเลื่อนคดี
โจทก์จะถอนฟ้องจำเลยหรือไม่เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะกระทำได้แต่อยู่ในดุลพินิจของศาลว่าสมควรจะอนุญาตให้ถอนฟ้องหรือไม่ โดยคำนึงถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในเชิงคดี
คดียังไม่มีการนำพยานของโจทก์และจำเลยเข้าสืบ โดยศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก แต่ทนายจำเลยขอเลื่อนคดี หลังจากนั้นมีการขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์อีกถึง 10 นัด จนถึงนัดที่โจทก์ขอถอนฟ้อง ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าว ทั้งโจทก์และจำเลยได้ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุที่ขอเจรจาต่อรองเพื่อตกลงกัน แม้ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ก็หาทำให้ฝ่ายใดต้องเสียเปรียบในเชิงคดีไม่ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 แล้ว
คดียังไม่มีการนำพยานของโจทก์และจำเลยเข้าสืบ โดยศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก แต่ทนายจำเลยขอเลื่อนคดี หลังจากนั้นมีการขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์อีกถึง 10 นัด จนถึงนัดที่โจทก์ขอถอนฟ้อง ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าว ทั้งโจทก์และจำเลยได้ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุที่ขอเจรจาต่อรองเพื่อตกลงกัน แม้ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ก็หาทำให้ฝ่ายใดต้องเสียเปรียบในเชิงคดีไม่ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5198/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่ง: ดุลพินิจศาลคำนึงถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการดำเนินคดี
การที่โจทก์จะถอนฟ้องคดีแพ่งหรือไม่ เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะกระทำได้แต่อยู่ในดุลพินิจของศาลว่าสมควรจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้หรือไม่ โดยให้ศาลคำนึงถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในเชิงคดีเท่าที่ต่างดำเนินคดีต่อสู้กันมา
คดียังไม่มีการนำพยานของโจทก์และจำเลยเข้าสืบเพื่อเป็นการสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องและข้อเถียงตามคำให้การของฝ่ายตนโดยศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก แต่ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีหลังจากนั้นมีการขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์อีกถึง 10 นัด จนถึงนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นนัดที่โจทก์ทั้งห้าขอถอนฟ้องซึ่งตลอดเวลาดังกล่าวทั้งโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสามได้ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุที่ขอเจรจาต่อรองเพื่อตกลงกัน แม้ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ ก็หาทำให้ฝ่ายใดต้องเสียเปรียบในเชิงคดีไม่ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 แล้ว
คดียังไม่มีการนำพยานของโจทก์และจำเลยเข้าสืบเพื่อเป็นการสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องและข้อเถียงตามคำให้การของฝ่ายตนโดยศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก แต่ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีหลังจากนั้นมีการขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์อีกถึง 10 นัด จนถึงนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นนัดที่โจทก์ทั้งห้าขอถอนฟ้องซึ่งตลอดเวลาดังกล่าวทั้งโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสามได้ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุที่ขอเจรจาต่อรองเพื่อตกลงกัน แม้ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ ก็หาทำให้ฝ่ายใดต้องเสียเปรียบในเชิงคดีไม่ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5198/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิถอนฟ้องและการใช้ดุลพินิจของศาล
โจทก์จะถอนฟ้องจำเลยหรือไม่เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะกระทำได้แต่อยู่ในดุลพินิจของศาลว่าสมควรจะอนุญาตให้ถอนฟ้องหรือไม่ โดยคำนึงถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในเชิงคดี
คดียังไม่มีการนำพยานของโจทก์และจำเลยเข้าสืบ โดยศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก แต่ทนายจำเลยขอเลื่อนคดี หลังจากนั้นมีการขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์อีกถึง 10 นัด จนถึงนัดที่โจทก์ขอถอนฟ้อง ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าว ทั้งโจทก์และจำเลยได้ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุที่ขอเจรจาต่อรองเพื่อตกลงกัน แม้ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ก็หาทำให้ฝ่ายใดต้องเสียเปรียบในเชิงคดีไม่ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 175 แล้ว
คดียังไม่มีการนำพยานของโจทก์และจำเลยเข้าสืบ โดยศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก แต่ทนายจำเลยขอเลื่อนคดี หลังจากนั้นมีการขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์อีกถึง 10 นัด จนถึงนัดที่โจทก์ขอถอนฟ้อง ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าว ทั้งโจทก์และจำเลยได้ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุที่ขอเจรจาต่อรองเพื่อตกลงกัน แม้ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ก็หาทำให้ฝ่ายใดต้องเสียเปรียบในเชิงคดีไม่ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 175 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4777/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตรายได้จากการขายที่ดินและอาคาร: สัญญาพัฒนาที่ดินและการเสียภาษี
ตามหนังสือสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัท ส. จำกัด มีข้อความระบุแต่เพียงว่าให้บริษัท ส. จำกัด จำหน่าย ที่ดินของโจทก์ให้แก่บุคคลทั่วไปได้โดยให้ทำการจำหน่ายเป็นแปลงย่อย ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าโจทก์ว่าจ้างให้ บริษัท ส. จำกัด ก่อสร้างอาคารให้แก่โจทก์ แต่กลับปรากฏข้อความว่าบรรดาค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคภายในบริเวณที่ดินของโจทก์นั้น บริษัท ส. จำกัด เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น อีกทั้งตามปกติแล้วสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารจะต้องมีแบบแปลน รายละเอียดเกี่ยวกับการก่อสร้างรวมทั้งสินจ้างด้วย จึงจะเป็นสัญญาจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 ถึงแม้ในหนังสือสัญญาจะมีข้อความบางตอนว่าโจทก์ตกลงให้บริษัท ส. จำกัด รับเหมาก่อสร้างและ จัดจำหน่าย แต่ผู้เดียวก็ตามจะฟังว่าหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างทำของไม่ได้
โจทก์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาคารที่ปลูกสร้างในที่ดินของโจทก์เลยไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง ทำโครงการขาย หรือรับเงินจากผู้ซื้อ โจทก์เพียงแต่มอบอำนาจให้พนักงานของบริษัท ส. จำกัด ไปโอนที่ดินและอาคารที่ปลูกอยู่บน ที่ดินของโจทก์ให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้น และบริษัท ส. จำกัด ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะในส่วนรายรับจากการขายอาคารต่อ เจ้าพนักงานของจำเลยในนามของบริษัท ส. จำกัด แล้ว เมื่อโจทก์ตกลงให้บริษัท ส. จำกัด เข้ามาลงทุนพัฒนาที่ดินและจำหน่ายที่ดินแทนโจทก์ โดยบริษัท ส. จำกัด ได้รับผลประโยชน์จากการขายอาคารที่ปลูกสร้างบนที่ดินของโจทก์ และผลประโยชน์ที่โจทก์ได้รับจากสัญญาดังกล่าว คือสามารถขายที่ดินได้ในราคาที่โจทก์กำหนดโดยไม่ต้องลงทุนเท่านั้น บริษัท ส. จำกัด จะขายอาคารแล้วมีผลกำไรหรือขาดทุนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจทก์ ดังนั้น รายรับจากการขายอาคารบนที่ดินของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นรายรับจากการประกอบกิจการของบริษัท ส. จำกัด มิใช่รายรับของโจทก์ โจทก์คงมีรายรับจากการขายที่ดินเพียงอย่างเดียวเป็นเงิน 9,336,000 บาท โจทก์จึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในปี 2537 จากยอดรายรับดังกล่าว การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากรายรับซึ่งคำนวณจากราคาที่ดินและอาคารรวมกันจึงไม่ชอบ
โจทก์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาคารที่ปลูกสร้างในที่ดินของโจทก์เลยไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง ทำโครงการขาย หรือรับเงินจากผู้ซื้อ โจทก์เพียงแต่มอบอำนาจให้พนักงานของบริษัท ส. จำกัด ไปโอนที่ดินและอาคารที่ปลูกอยู่บน ที่ดินของโจทก์ให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้น และบริษัท ส. จำกัด ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะในส่วนรายรับจากการขายอาคารต่อ เจ้าพนักงานของจำเลยในนามของบริษัท ส. จำกัด แล้ว เมื่อโจทก์ตกลงให้บริษัท ส. จำกัด เข้ามาลงทุนพัฒนาที่ดินและจำหน่ายที่ดินแทนโจทก์ โดยบริษัท ส. จำกัด ได้รับผลประโยชน์จากการขายอาคารที่ปลูกสร้างบนที่ดินของโจทก์ และผลประโยชน์ที่โจทก์ได้รับจากสัญญาดังกล่าว คือสามารถขายที่ดินได้ในราคาที่โจทก์กำหนดโดยไม่ต้องลงทุนเท่านั้น บริษัท ส. จำกัด จะขายอาคารแล้วมีผลกำไรหรือขาดทุนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจทก์ ดังนั้น รายรับจากการขายอาคารบนที่ดินของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นรายรับจากการประกอบกิจการของบริษัท ส. จำกัด มิใช่รายรับของโจทก์ โจทก์คงมีรายรับจากการขายที่ดินเพียงอย่างเดียวเป็นเงิน 9,336,000 บาท โจทก์จึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในปี 2537 จากยอดรายรับดังกล่าว การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากรายรับซึ่งคำนวณจากราคาที่ดินและอาคารรวมกันจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4769/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับชำระหนี้ล่าช้าทำให้สิทธิเรียกร้องหนี้ทั้งหมดทันทีสิ้นสุดลง ต้องมีการบอกกล่าวเตือนก่อน
โจทก์ยอมรับเงินค่างวดที่จำเลยผิดนัดชำระให้แก่โจทก์เรื่อยมาโดยไม่ได้อิดเอื้อนหรือโต้แย้งสงวนสิทธิของโจทก์ที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยในกรณีดังกล่าวไว้เลย พฤติการณ์ที่โจทก์และจำเลยแสดงออกต่อกันเช่นนี้ต่างมิได้ถือเอากำหนดวันปฏิทินให้จำเลยชำระเงินแต่ละงวดตามสัญญากู้เงินเป็นสาระสำคัญต่อไป และถือได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงระงับข้อสัญญาเกี่ยวกับการชำระเงินแต่ละงวดล่าช้าไปกว่าวันที่กำหนดไว้ตามสัญญากู้เงินเป็นการผิดนัดกันอีกแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงงวดชำระ จำเลยไม่ชำระเงินให้โจทก์ จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยผิดนัด อันจะก่อให้โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระทั้งหมดคืนได้ทันทีตามสัญญากู้เงิน เว้นแต่โจทก์จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินงวดที่ค้างในกำหนดเวลาพอสมควรก่อน หากจำเลยไม่ชำระจึงจะถือได้ว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดเพราะโจทก์ได้เตือนแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 และ 204 วรรคหนึ่ง
โจทก์เรียกให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างทั้งหมดคืนให้แก่โจทก์โดยอ้างเหตุกล่าวหาว่าจำเลยผิดนัด ไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดเท่านั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสิทธิที่โจทก์พึงมีตามสัญญากู้เงินข้อ 7 แม้จำเลยไม่ผิดนัดก็ตาม แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดนัดชำระเงินให้แก่โจทก์ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจากจำเลย คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดหรือไม่เท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ผิดนัดแล้ว ก็ย่อมพิพากษายกฟ้องได้ โดยไม่จำต้องวินิจฉัยถึงสิทธิอื่นใดของโจทก์อีก เพราะไม่มีประเด็นข้อพิพาทในคดี ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยถึงสิทธิของโจทก์ตามสัญญากู้เงิน โดยเห็นว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง นั้น เป็นการชอบแล้ว
โจทก์เรียกให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างทั้งหมดคืนให้แก่โจทก์โดยอ้างเหตุกล่าวหาว่าจำเลยผิดนัด ไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดเท่านั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสิทธิที่โจทก์พึงมีตามสัญญากู้เงินข้อ 7 แม้จำเลยไม่ผิดนัดก็ตาม แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดนัดชำระเงินให้แก่โจทก์ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจากจำเลย คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดหรือไม่เท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ผิดนัดแล้ว ก็ย่อมพิพากษายกฟ้องได้ โดยไม่จำต้องวินิจฉัยถึงสิทธิอื่นใดของโจทก์อีก เพราะไม่มีประเด็นข้อพิพาทในคดี ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยถึงสิทธิของโจทก์ตามสัญญากู้เงิน โดยเห็นว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง นั้น เป็นการชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4728/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีเมื่อสำนวนถูกปลดออก โจทก์มีสิทธิขอให้บังคับคดีจากทรัพย์เดิมได้หากเคยยึดทรัพย์นั้นไว้ภายใน 10 ปี
การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาต้องดำเนินการตามขั้นตอนขั้นแรกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ขั้นต่อไปต้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดี และจากนั้นต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 275 และ 278
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเคยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยขณะที่ยังเป็นใบจอง โดยได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วนแล้วภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา แต่ในขณะยึดที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีจึงจ่ายเงินจากการขายทอดตลาดให้โจทก์ไม่ได้ เมื่อจำเลยขอออกโฉนดที่ดินแล้วและโจทก์มาขอนำยึดที่ดินดังกล่าวใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้จะเกินสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแต่ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ไว้แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดิม ของจำเลยได้
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเคยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยขณะที่ยังเป็นใบจอง โดยได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วนแล้วภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา แต่ในขณะยึดที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีจึงจ่ายเงินจากการขายทอดตลาดให้โจทก์ไม่ได้ เมื่อจำเลยขอออกโฉนดที่ดินแล้วและโจทก์มาขอนำยึดที่ดินดังกล่าวใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้จะเกินสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแต่ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ไว้แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดิม ของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4728/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: การยึดทรัพย์ซ้ำภายใน 10 ปีหลังมีคำพิพากษา แม้ทรัพย์เดิมถูกยึดแล้วแต่ไม่สำเร็จ ยังคงมีสิทธิยึดได้
การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาต้องดำเนินการตามขั้นตอน ขั้นแรกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ขั้นต่อไปต้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดี และจากนั้นต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 275 และ 278
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเคยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยขณะที่ยังเป็นใบจอง โดยได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วนแล้วภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา แต่ในขณะยึดที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีจึงจ่ายเงินจากการขายทอดตลาดให้โจทก์ไม่ได้ เมื่อจำเลยขอออกโฉนดที่ดินแล้วและโจทก์มาขอนำยึดที่ดินดังกล่าวใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้จะเกินสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแต่ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 ไว้แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดิมของจำเลยได้
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเคยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยขณะที่ยังเป็นใบจอง โดยได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วนแล้วภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา แต่ในขณะยึดที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีจึงจ่ายเงินจากการขายทอดตลาดให้โจทก์ไม่ได้ เมื่อจำเลยขอออกโฉนดที่ดินแล้วและโจทก์มาขอนำยึดที่ดินดังกล่าวใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้จะเกินสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแต่ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 ไว้แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดิมของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4595/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทด้วยการกล่าวหาพัวพันยาเสพติด ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและอนาคตทางการเมือง จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 และความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2485 มาตรา 48 ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ข้อเท็จจริงในคดีอาญารับฟังว่า จำเลยใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณาด้วยเอกสาร โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ เป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา คำพิพากษา ส่วนอาญาย่อมผูกพันจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46จำเลยไม่อาจโต้เถียงข้อเท็จจริงให้รับฟังเป็นอย่างอื่นได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 423 วรรคหนึ่ง
แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 447จะบัญญัติให้จำเลยในคดีแพ่งรับผิดชอบจัดการโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์อันเป็นทางแก้เพื่อให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์กลับคืนดีก็ตาม แต่เมื่อในคดีอาญาศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาในคดีส่วนอาญาในหนังสือพิมพ์โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณาแล้วเป็นการเพียงพอที่จะแก้ไขให้ชื่อเสียงของโจทก์กลับคืนดีแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องโฆษณาในคดีส่วนแพ่งต่อไปอีก
แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 447จะบัญญัติให้จำเลยในคดีแพ่งรับผิดชอบจัดการโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์อันเป็นทางแก้เพื่อให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์กลับคืนดีก็ตาม แต่เมื่อในคดีอาญาศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาในคดีส่วนอาญาในหนังสือพิมพ์โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณาแล้วเป็นการเพียงพอที่จะแก้ไขให้ชื่อเสียงของโจทก์กลับคืนดีแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องโฆษณาในคดีส่วนแพ่งต่อไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4586/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยบันดาลโทสะ vs. ไตร่ตรองไว้ก่อน: พิจารณาจากคำด่าและพฤติการณ์ของผู้ตาย
แม้ ว.เจ้าของร้านอาหารที่เกิดเหตุและท.ลูกจ้างของว.พยานโจทก์ที่อยู่ในร้านอาหารเกิดเหตุจะเบิกความต้องกันว่า จำเลยเข้ามาในร้านอาหารแล้วทวงถามหนี้จากผู้ตาย โดย ท. เบิกความว่าผู้ตายโกรธจำเลยและด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบ ๆ คาย ๆ ว่า "ไอ้หน้าหีหน้าแตดเจอทีไรต้องทวงหนี้ทุกที กูไม่ใช้มึง มึงอยากได้ มึงก็ไปฟ้องเอา ถ้ามึงไม่ฟ้องไม่ใช่ลูกผู้ชาย" ซึ่งถ้อยคำด่าดังกล่าวนี้แม้จะทำให้จำเลยมีความอับอายต่อหน้าบุคคลอื่นที่อยู่ในร้านอาหารที่เกิดเหตุขณะนั้นได้แต่ก็เป็นเพียงถ้อยคำที่หยาบคายตามปกติที่หากผู้ตายเป็นวิญญูชนโดยทั่วไปแล้วก็ไม่สมควรที่จะกล่าวออกมาเท่านั้น เมื่อผู้ตายด่าว่าจำเลยแล้วก็ลุกออกเดินจะไปที่รถยนต์ของผู้ตายที่จอดอยู่ใกล้ ๆ กับหน้าร้านอาหารที่เกิดเหตุ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้กระทำใด ๆ อันเป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยในร่างกายหรือทรัพย์สินของจำเลยอีก พฤติการณ์ของผู้ตายที่แสดงต่อจำเลยยังถือไม่ได้ว่าได้กระทำการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยใช้อาวุธปืนเล็กกล (เอ็ม 16) ซึ่งจำเลยรู้ดีว่าเป็นอาวุธปืนที่มีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายเป็นการกระทำไปด้วยความโกรธขาดสติ จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าฆ่าผู้ตายโดยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
การไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นภาวะทางจิตใจของจำเลยที่จะต้องคิดทบทวนตกลงใจว่า จะฆ่าผู้ตายก่อนที่จะลงมือกระทำ ซึ่งเป็นการยากที่จะหยั่งรู้ได้โดยตรง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุ แม้จะได้ความว่าสาเหตุที่จำเลยฆ่าผู้ตายเนื่องมาจากเหตุที่ผู้ตายยืมเงินจำเลยจำนวนมากถึง 205,000 บาท จำเลยทวงถามหลายครั้งแล้วผู้ตายไม่ยอมชำระก็ตาม แต่การกู้ยืมเงินกันระหว่างจำเลยกับผู้ตายก็ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินกันไว้ ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยได้คิดทบทวนตัดสินใจที่จะฆ่าผู้ตายที่ไม่ยอมชำระหนี้ให้จำเลยไว้
การไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นภาวะทางจิตใจของจำเลยที่จะต้องคิดทบทวนตกลงใจว่า จะฆ่าผู้ตายก่อนที่จะลงมือกระทำ ซึ่งเป็นการยากที่จะหยั่งรู้ได้โดยตรง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุ แม้จะได้ความว่าสาเหตุที่จำเลยฆ่าผู้ตายเนื่องมาจากเหตุที่ผู้ตายยืมเงินจำเลยจำนวนมากถึง 205,000 บาท จำเลยทวงถามหลายครั้งแล้วผู้ตายไม่ยอมชำระก็ตาม แต่การกู้ยืมเงินกันระหว่างจำเลยกับผู้ตายก็ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินกันไว้ ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยได้คิดทบทวนตัดสินใจที่จะฆ่าผู้ตายที่ไม่ยอมชำระหนี้ให้จำเลยไว้