คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุรชาติ บุญศิริพันธ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 467 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9165/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตั้งผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม: ศาลต้องตั้งตามพินัยกรรม หากมีข้อโต้แย้งต้องวินิจฉัยความสมบูรณ์ของพินัยกรรม
การตั้งผู้จัดการมรดกในกรณีที่มีพินัยกรรม ศาลอาจต้องตั้งตามข้อกำหนดพินัยกรรมตาม ป.พ.พ.มาตรา 1713 วรรคสอง เมื่อผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมเอกสารพิพาท จึงเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของพินัยกรรมตามคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านเอง คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8885/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งสำเนาอุทธรณ์และการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ กรณีทนายจำเลยและผู้ร้องสอดเป็นคนเดียวกัน
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องสอดส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยก็เพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสยื่นคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้องสอด แต่เมื่อปรากฏว่าทนายผู้ร้องสอดผู้ยื่นอุทธรณ์และทนายจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกันมีผลเท่ากับว่าทนายจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่า ผู้ร้องสอดได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นมาแต่ต้นและจำเลยอาจยื่นคำแก้อุทธรณ์ได้อยู่แล้ว ศาลชั้นต้นไม่จำต้องสั่งให้ผู้ร้องสอดนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้อีก ดังนั้น แม้ผู้ร้องสอดจะไม่ได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลย ก็ไม่ถือว่าผู้ร้องสอดทิ้งอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8885/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งสำเนาอุทธรณ์ที่ไม่จำเป็นเมื่อทนายจำเลยและผู้ร้องสอดเป็นคนเดียวกัน ศาลฎีกายกคำสั่งจำหน่ายคดี
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องสอดส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยก็เพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสยื่นคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้องสอดเท่านั้น แต่ปรากฏว่าคดีนี้ทนายผู้ร้องสอดผู้ยื่นอุทธรณ์และทนายจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกันมีผลเท่ากับว่าทนายจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ร้องสอดได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นมาแต่ต้นและจำเลยอาจยื่นคำแก้อุทธรณ์ได้แล้ว โดยศาลชั้นต้นไม่จำต้องสั่งให้ผู้ร้องสอดนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้อีก และชอบที่จะสั่งให้ทนายจำเลยซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกับทนายผู้ร้องสอดยื่นคำแก้อุทธรณ์เข้ามาภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดได้เลยเมื่อปรากฏว่าคดีนี้ผู้ร้องสอดได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์และโจทก์ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์เข้ามาแล้ว ทั้งทนายจำเลยก็ได้แถลงต่อศาลว่าจำเลยไม่ติดใจยื่นคำแก้อุทธรณ์ แม้จะเป็นการแถลงเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ผู้ร้องสอดจะต้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้แล้วก็ตาม ตามพฤติการณ์ศาลฎีกาก็เห็นเป็นการสมควรที่จะให้ดำเนินคดีของผู้ร้องสอดต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8647/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเมื่อมีทรัพย์สินร่วมกันและเจ้ามรดกมีภูมิลำเนาต่างกัน
ป.วิ.พ. มาตรา 4 จัตวา วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้ศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตายเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก เมื่อ อ. และ ก. เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดมหาสารคามอันเป็นศาลชั้นต้นในขณะที่ถึงแก่ความตายการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของบุคคลทั้งสองไว้เพื่อทำการไต่สวนจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
แม้ผู้ร้องอาจใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้แต่งตั้งผู้จัดการมรดกของ ป. เป็นอีกคดีหนึ่งได้ที่ศาลจังหวัดหนองคาย อันเป็นศาลที่ ป. มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตายก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเบื้องต้นปรากฏจากคำร้องขอว่า เจ้ามรดกทั้งสามราย คือ อ. ก. และ ป. มีทรัพย์สินอันเป็นมรดกร่วมกัน คือ ที่ดิน น.ส. 3. ซึ่งตั้งอยู่จังหวัดมหาสารคามโดยเจ้ามรดก 2 ราย คือ อ. และ ก. มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดมหาสารคาม ในขณะที่ถึงแก่ความตายย่อมถือได้ว่าคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสามรายดังกล่าวมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันพอที่พิจารณารวมกันได้ ผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของ ป. ผู้ตายต่อศาลจังหวัดมหาสารคาม โดยอาศัย ป.วิ.พ. มาตรา 5 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8647/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเมื่อทรัพย์มรดกเกี่ยวข้องกับหลายศาล
อ. ก. และ ป. เจ้ามรดกทั้งสามรายมีทรัพย์สินอันเป็นมรดกร่วมกัน คือที่ดินน.ส. 3 ที่จังหวัดมหาสารคาม ย่อมถือได้ว่าคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสามรายดังกล่าวมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันพอที่พิจารณารวมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของ อ. และ ก. ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดมหาสารคามในขณะที่ถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 4 จัตวา และขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของ ป. ซึ่งไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดมหาสารคามมาในคำร้องเดียวกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8593/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสพยาเสพติดผสม: ความผิดกรรมเดียวและอำนาจศาลฎีกาแก้ไขข้อกฎหมาย
จำเลยเสพเฮโรอีนและเสพกัญชาโดยหั่นกัญชาผสมเฮโรอีนบรรจุในบ้องกัญชาแล้วจุดไฟสูบ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเสพทั้งเฮโรอีนและกัญชา ซึ่งผสมกันเสมือนวัตถุอันเดียว การที่จำเลยเสพยาเสพติดให้โทษทั้งสองประเภทไปในลักษณะเช่นนี้ จึงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8391/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความบุกรุกที่ดินโดยสุจริต ไม่เป็นความผิดแจ้งความเท็จ แม้มีข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 ซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาว่า จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลยเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 เวลากลางวัน แต่ตามทางพิจารณาจำเลยเบิกความรับว่า จำเลยได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่ดินพิพาทของจำเลย โดยมิได้นำสืบต่อสู้เกี่ยวกับวันเวลาที่จำเลยไปแจ้งความ กรณีที่ข้อแตกต่างเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลา มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ และการที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้น มิได้เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ ดังนั้นหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 172 ต้องเป็นกรณีที่ผู้แจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ โดยแกล้งกล่าวข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาให้ผิดไปจากความจริง เมื่อโจทก์และจำเลยต่างเข้าใจว่าตนมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทการที่จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหาบุกรุก เป็นกรณีที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในทำนองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมของบิดา และโจทก์ได้บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของจำเลยโดยมิชอบด้วยกฎหมายนอกจากนี้เมื่อพนักงานสอบสวนปากคำจำเลย จำเลยก็ให้การรับว่าที่ดินของจำเลยดังกล่าวยังมีข้อพิพาทฟ้องร้องทางแพ่ง โต้เถียงกรรมสิทธิ์กันอยู่ระหว่างโจทก์กับจำเลย พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาแกล้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ส่วนฝ่ายใดจะมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8391/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จต้องเจตนาแกล้งกล่าวเท็จ กรณีเข้าใจผิดเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่เป็นความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 ซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาว่า จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลยเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 เวลากลางวันแต่จำเลยมิได้นำสืบต่อสู้เกี่ยวกับวันเวลาที่จำเลยไปแจ้งความแสดงว่าการที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้น มิได้เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่ดินพิพาทของจำเลย โดยจำเลยได้นำ น.ส.3 ก. ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองมาแสดง น.ส.3 ก. ดังกล่าวระบุว่าจำเลยได้รับโอนมาทางมรดกตามพินัยกรรม จึงเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในทำนองเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมของบิดา และโจทก์ได้บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของจำเลยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เมื่อพนักงานสอบสวนสอบปากคำจำเลย จำเลยก็ให้การรับว่าที่ดินของจำเลยดังกล่าวยังมีข้อพิพาทฟ้องร้องทางแพ่งโต้เถียงกรรมสิทธิ์กันอยู่ระหว่างโจทก์กับจำเลยพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาแกล้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ ส่วนฝ่ายใดจะมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากันเป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยจะต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไปการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8328/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตเลื่อนคดีและการพิจารณาพยาน: ความรับผิดของผู้รับมอบอำนาจและทนายโจทก์
ข้อที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและพิพากษาให้เป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์ทุกประการเป็นคำขอที่เกินเลยไปจากคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ที่อุทธรณ์คัดค้านเฉพาะแต่เรื่องการไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดี ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงไม่อาจวินิจฉัยและพิพากษาตามคำขอของโจทก์ในข้อนี้ให้ได้
ผู้รับมอบอำนาจโจทก์กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ โดยไม่คำนึงว่าทนายโจทก์จะว่างมาว่าความให้โจทก์ได้หรือไม่ รวมทั้งมิได้แจ้งวันนัดให้ทนายโจทก์ทราบ ถือว่าเป็นความบกพร่องของผู้รับมอบอำนาจโจทก์เอง และแสดงให้เห็นว่าทนายโจทก์ไม่เอาใจใส่ในคดีของโจทก์ ทั้งเมื่อนับจากวันที่มีการกำหนดนัดสืบพยานจนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าวก็เป็นระยะเวลานานถึง 71 วัน หากเกิดเหตุผิดพลาดทำให้ทนายโจทก์นัดซ้อนวันกับศาลอื่น ก็ชอบที่ฝ่ายโจทก์จะต้องรีบร้องขอเลื่อนคดีนี้เสียแต่เนิ่น ๆ แต่ฝ่ายโจทก์ก็หาได้กระทำไม่ พฤติการณ์ที่ฝ่ายโจทก์มิได้ให้ความสำคัญแก่วันเวลานัดของศาล กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ฝ่ายโจทก์เลื่อนคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8314/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถยนต์คดีอาญา: การโอนสิทธิก่อนคำพิพากษาถึงที่สุด ผู้ซื้อย่อมเป็นเจ้าของได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง และริบรถยนต์ของกลาง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่อุทธรณ์เพราะพอใจในโทษของตนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 ย่อมถึงที่สุด แต่จะถือว่าประเด็นในเรื่องการริบรถยนต์ของกลางถึงที่สุดตามโทษของจำเลยที่ 2 ทำนองเดียวกับคดีแพ่งที่มีการถึงที่สุดเป็นประเด็น ๆ ไปหาได้ไม่ เพราะปัญหาในคดีอาญาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงโทษจำเลยตลอดจนริบทรัพย์สินล้วนเป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ทั้งสิ้น แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นอ้างในอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง,195 วรรคสอง และมาตรา 213 คำพิพากษาเกี่ยวกับรถยนต์ของกลางจึงยังไม่ถึงที่สุด
เมื่อคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางจึงยังเป็นของบริษัทเงินทุน ท. อยู่ยังไม่ได้ตกเป็นของแผ่นดิน การที่ผู้ร้องซื้อสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของกลางและจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 และคำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด ผู้ร้องย่อมเป็นเจ้าของแท้จริงในรถยนต์ของกลางได้โดยชอบ เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ฟังในวันที่ 25 มกราคม 2542 และไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา คำพิพากษาคดีนี้ย่อมถึงที่สุดในวันที่ 26กุมภาพันธ์ 2542 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางคืนเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 จึงเป็นการยื่นภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
of 47