คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุรชาติ บุญศิริพันธ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 467 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยักยอกทรัพย์ต้องมีผู้เสียหายโดยตรง เงินค่าเช่าที่ศาลสั่งคุ้มครองยังไม่ตกเป็นของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้อง
จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลในข้อหาละเมิดและเรียกค่าเสียหาย ระหว่างพิจารณา ศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวโดยให้จำเลยที่ 1 จัดการเก็บเงินค่าเช่าอาคาร ร้านค้าและแผงลอยในตลาดของโจทก์แล้วนำเงินมาวางศาลทุกเดือน จำเลยทั้งสามได้เก็บเงินค่าเช่าแผงลอยในตลาดจำนวน 11,565 บาท แล้วไม่นำไปวางศาลตามคำสั่งศาลแพ่งในคดีดังกล่าว แต่เงินค่าเช่าที่จำเลยทั้งสามรับไว้ดังกล่าวยังมิใช่เป็นเงินของโจทก์ ดังนั้นไม่ว่าจำเลยทั้งสามจะได้ร่วมกันเบียดบังเอาเงินที่ได้รับไว้นั้นเป็นของตนโดยทุจริตจริงหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของโจทก์ได้ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยักยอกทรัพย์ต้องมีผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของทรัพย์โดยตรง คดีนี้เงินค่าเช่ายังไม่ตกเป็นของโจทก์
++ เรื่อง ยักยอก (ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง) ++
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ ขอชุดตรวจได้ที่งานย่อข้อกฎหมายระบบ CW โถงกลางชั้น 3 ++
++
++
จำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลในข้อหาละเมิดและเรียกค่าเสียหายระหว่างพิจารณา ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวโดยให้จำเลยจัดการเก็บเงินค่าเช่าอาคาร ร้านค้าและแผงลอยในตลาดของโจทก์แล้วนำเงินมาวางศาลทุกเดือนจำเลยได้เก็บเงินค่าเช่าแผงลอยในตลาดแล้วไม่นำไปวางศาล แต่เงินค่าเช่าที่จำเลยรับไว้ดังกล่าวยังไม่เป็นเงินของโจทก์ ดังนั้นไม่ว่าจำเลยจะได้เบียดบังเอาเงินที่ได้รับไว้นั้นเป็นของตนโดยทุจริตหรือไม่ ก็ไม่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของโจทก์ได้โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขออุทธรณ์ค่าธรรมเนียมศาลในฐานะคนยากจน จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานใหม่ที่ต่างจากเดิม
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยแล้วเห็นว่า จำเลยมีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งแม้หลักทรัพย์ดังกล่าวจะติดจำนองอยู่แก่ธนาคารและจำเลยยังไม่มีเงินไถ่ถอน ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนยากจนที่ไม่อาจเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว กลับยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ศาลอนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจน แต่ตามคำร้องที่ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานหลักฐานใหม่ไม่ปรากฏว่าเหตุที่จำเลยอ้างตามคำร้องเป็นเหตุอื่นนอกเหนือไปจากที่เคยอ้างไว้เดิม ตามพฤติการณ์ย่อมเป็นที่เห็นได้อยู่ในตัวว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติมไปจากที่ศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยแล้ว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขอใหม่ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่ชัดเจนวันเวลาใช้เอกสารปลอม ทำให้ฟ้องฐานใช้เอกสารปลอมไม่ได้ แม้พยานหลักฐานไม่เพียงพอ
โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องข้อ (ข)และ(ง) สรุปได้ว่า หลังจากที่ จำเลยปลอมเอกสารสิทธิใบวางบิลดังกล่าวในฟ้องข้อ (ก) และ (ค) แล้วจำเลยบังอาจนำเอกสารสิทธิดังกล่าวไปใช้อ้างแก่โจทก์ร่วมเพื่อเป็นหลักฐานในการแจ้งสรุปยอดปริมาณการขายสินค้าเพื่อให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่า ใบวางบิลดังกล่าวได้วางให้แก่ลูกค้าและลูกค้าลงลายมือชื่อในช่อง ผู้รับวางบิลแล้ว ทั้งนี้ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม และประชาชน คำฟ้องโจทก์ดังกล่าวมิได้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยนำใบวางบิลไปใช้อ้างแก่โจทก์ร่วมมาโดยชัดแจ้ง เป็นคำฟ้องที่ไม่เพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีจึงเป็นคำฟ้อง ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร - ลักทรัพย์ - ตัวการร่วม - อำนาจศาล - แก้ไขบท - จำเลยไม่ฎีกา
ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 พาเอาไปเสียซึ่งรองเท้าของกลางที่จำเลยที่ 1 ลักเอามาซุกซ่อนไว้ข้างโกดังเก็บสินค้าในโรงงานของผู้เสียหายแล้วนำไปเก็บไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 3 เพื่อแบ่งปันกันในภายหลัง ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการรับของโจร ตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคแรก แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 โดยไม่ปรับบทมาตรา 83 มานั้น ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยที่ 3 เสียใหม่ให้ถูกต้อง ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ทั้งเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้ไขปรับบทตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย
คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์และฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ลักทรัพย์รองเท้าของกลางด้วย ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างในเวลากลางคืนตามลำพัง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (7) และ มาตรา 83 อีก ปัญหาข้อนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้ยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขให้ถูกต้อง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาให้จำเลยที่ 1 พ้นจากความผิดตามบทมาตราดังกล่าวได้ ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์-สนับสนุนการกระทำผิด, การใช้ยานพาหนะ, และการชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำผิด
จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นในโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขายก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น ถือว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนและเป็นความผิดต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงานไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงานเพื่อบรรทุกทรัพย์ไปย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่น เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไป จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรง จึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักทรัพย์ต่อเนื่อง-สนับสนุน-ใช้ยานพาหนะ-ริบของกลาง-คำขอค่าเสียหาย-ความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขาย แต่ก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น ถือว่า เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนแล้ว และเป็นความผิดต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงานไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการคงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงาน เพื่อบรรทุกทรัพย์ไป ย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่นแล้ว เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้ เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไปไม่ได้ใช้ เป็น เครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรงจึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8703/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อไม่สมบูรณ์ ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายเช็ค
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า "สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ"ย่อมมีความหมายว่าคู่สัญญาต้องลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาเช่าซื้อทั้งสองฝ่าย ถ้าฝ่ายใดมิได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาจะถือว่าฝ่ายนั้นทำหนังสือสัญญาด้วยมิได้ เมื่อปรากฏว่าในวันออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อยังมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อให้ถูกต้อง คงมีแต่จำเลยผู้เช่าซื้อลงลายมือชื่อแต่ฝ่ายเดียว สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวย่อมไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย แม้ ช. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์จะมาลงลายมือชื่อในฐานะตัวแทนผู้ให้เช่าซื้อในภายหลังก็หามีผลย้อนหลังไม่ดังนั้น ในวันออกเช็คพิพาทแต่ละฉบับ จำเลยจึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันที่สองให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อเช็คพิพาทแต่ละฉบับ จำเลยได้สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อทั้งสองคันตามสัญญาเช่าซื้อทั้งสองฉบับรวมกันเช็คพิพาทแต่ละฉบับจึงมีเงินค่าเช่าซื้อส่วนที่โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องบังคับให้จำเลยชำระรวมอยู่ด้วย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยย่อมขาดองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8214/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานจำหน่ายและมีเมทแอมเฟตามีนครอบครอง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง และจำเลยได้จำหน่าย เมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ และเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานจำหน่าย เมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ต้องปรับบทความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองอีก พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง เพียงบทเดียว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ส่วนจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานจำหน่าย เมทแอมเฟตามีน ขอให้ยกฟ้อง โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ให้ชัดแจ้งว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง ตามฟ้องและพิพากษายืน ดังนี้ ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองได้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว
พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานจะสมคบกันมาเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องรับโทษ ทั้งพยานโจทก์ดังกล่าวก็ เบิกความได้สอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญ และมีเหตุผลติดต่อเชื่อมโยงกันมาเป็นลำดับ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
ที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมก็มีเหตุผลน่าเชื่อว่าเป็นเพราะจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้โดยกะทันหันพร้อมด้วยธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อบางส่วนเป็นของกลางกับมีผู้มาชี้ตัวยืนยันความผิดของจำเลย จำเลยยังไม่มีโอกาสคิดไตร่ตรองหาข้อแก้ตัวได้ทันในขณะนั้น จึงต้องให้การรับสารภาพไปตามความสัตย์จริง ที่จำเลยเบิกความ อ้างลอย ๆ ว่า เจ้าพนักงานตำรวจบังคับให้จำเลยลงชื่อในบันทึกการตรวจค้นและจับกุม ทั้งมิได้ถามค้านพยานโจทก์ ผู้ทำบันทึกการจับกุมให้ข้อนี้ไว้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้
โจทก์นำ อ. ผู้ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยมาเป็นประจักษ์พยานเบิกความพิสูจน์ความผิดของจำเลย อ. ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุผลใดที่ อ. จะต้องให้การต่อพนักงานสอบสวนปรักปรำจำเลย ทั้ง อ. ก็ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเอง ยังไม่ทันมีโอกาสคบคิดกับผู้หนึ่งผู้ใดให้การช่วยเหลือหรือปรักปรำจำเลยได้ ที่ อ. เบิกความในชั้นพิจารณาในทำนองว่า ข้อเท็จจริงตามบันทึกคำให้การดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นการเบิกความอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้
โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความรับรองว่า ชั้นสอบสวน อ. ได้ให้การไว้จริง พนักงานสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ทั้งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะปรุงแต่งเรื่องราวตามบันทึกคำให้การขึ้นมาเอง พนักงานสอบสวนได้บันทึกคำให้การของ อ. ไปตามที่ อ. ให้การเองโดยสมัครใจ การที่ อ. พยานโจทก์มาเบิกความต่อศาลบิดเบือนข้อเท็จจริงในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของตนเองเป็นอย่างอื่นให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือจำเลยในภายหลัง จึงไม่ควรนำคำเบิกความของ อ. มาฟังเป็นประโยชน์แก่จำเลยหรือฟังเป็นข้อพิรุธทำลายน้ำหนักคำเบิกความของพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลย
การวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงแห่งคดี เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง ในสำนวนว่าข้อใดควรรับฟังได้เพียงใดหรือไม่ หาใช่พยานเบิกความอย่างไร แล้วศาลจะต้องรับฟังเสมอไปไม่ แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของ อ. จะเป็นคำซัดทอดของผู้กระทำความผิดในมูลคดีเรื่องเดียวกันก็ไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังทั้งมิใช่คำซัดทอดผู้อื่นเพื่อให้ตนเองพ้นจากความผิด ศาลจึงรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของ อ. ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้
ในวันเกิดเหตุ อ. ได้ให้การต่อพยานโจทก์ผู้จับกุม จำเลยซัดทอดว่าจำเลยเป็นผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ อ. ทันที จึงเป็นเบาะแสไปสู่การตรวจค้นบ้านของจำเลยจนพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อบางส่วนเป็นของกลาง การที่ พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช่ล่อซื้อบางส่วนตกมาอยู่ในกระเป๋าเสื้อของจำเลยนั้น จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนคำให้การในชั้นสอบสวนของ อ. ประจักษ์พยานโจทก์มีน้ำหนักอันควรแก่การรับฟังยิ่งขึ้น
พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานได้รับตัวจำเลยพร้อมของกลางจากพยานโจทก์ ผู้จับกุมจำเลยเมื่อเวลา 22 นาฬิกาเศษ ซึ่งห่างจากเวลาตรวจค้นและจับกุมจำเลยนานถึง 5 ชั่วโมงเศษ เหตุดังกล่าว น่าจะเป็นเพียงความล่าช้าในการปฏิบัติงานของผู้จับกุมจำเลยเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นข้อพิรุธของพยานโจทก์ทำให้ น่าสงสัยว่าจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม
แม้ปรากฏว่ามีการลงบันทึกเกี่ยวกับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีคลาดเคลื่อนไป แต่ จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาเมื่อนำมาฟังประกอบกันแล้ว มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่ อ. จริงตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้
ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองตาม พ.ร.บ. ยาเสพติด- ให้โทษ พ.ศ. 2522 เป็นความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกันและกระทำโดยอาศัยเจตนาที่แยกจากกัน จึงเป็นความผิดคนละบทหรือคนละกรรมกันแล้วแต่กรณี เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครอง จำนวน 94 เม็ด น้ำหนักรวม 8,420 กรัม และจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกันและจำเลยได้จำหน่ายหมดไปในคราวเดียวกันโดย ไม่มีเหลืออยู่ในความครอบครองของจำเลยอีก จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยเสียใหม่ให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8108/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานะคดีจากมีทุนทรัพย์เป็นไม่มีทุนทรัพย์เมื่อจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทเดิม ทำให้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
การที่จะพิจารณาว่าคดีใดจะเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ เพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับประเด็นที่คู่ความยกขึ้นโต้เถียงกันในแต่ละชั้นศาล
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้เป็นประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาทโดยวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง จำเลยกล่าวในฎีกาว่า จำเลยขอสละประเด็นที่ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์เนื่องจากจำเลยเห็นพ้องด้วยกับศาลล่างทั้งสอง เมื่อประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองของจำเลยยุติไปแล้ว ในชั้นฎีกาย่อมมิใช่คดีมีทุนทรัพย์ต่อไป แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
of 47