คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุรชาติ บุญศิริพันธ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 467 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4577/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับสิทธิฟ้องอาญาจากสัญญาประนีประนอมยอมความและการจำหน่ายคดี
ขณะที่โจทก์ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับ โจทก์ยังมีอำนาจฟ้องและการกระทำของจำเลยตามฟ้องก็เป็นความผิด เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปภายหลังและความปรากฏขึ้นในอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความเท่านั้นซึ่งจะมีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นระงับไปโดยไม่ต้องพิพากษายกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4577/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งต่อการดำเนินคดีอาญาฐานเช็ค
ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับโจทก์ยังมีอำนาจฟ้องและการกระทำของจำเลยตามฟ้องก็เป็นความผิดเมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปภายหลังและความปรากฏขึ้นในอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความเท่านั้น ซึ่งจะมีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นระงับไปโดยไม่ต้องพิพากษายกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4577/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญาและการจำหน่ายคดีออกจากสารบบ
ขณะที่โจทก์ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับโจทก์ยังมีอำนาจฟ้องและการกระทำของจำเลยตามฟ้องก็เป็นความผิด เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปภายหลังและความปรากฏขึ้นในอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความเท่านั้น ซึ่งจะมีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นระงับไปโดยไม่ต้องพิพากษายกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4537-4540/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดกรรมเดียว สินค้าปลอมเครื่องหมายการค้า การริบของกลาง และการปรับบท
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 5 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมในวันเวลาเดียวกันหรือคราวเดียว โดยแบ่ง สินค้าแยกวางเสนอจำหน่ายในสถานที่ต่างกันนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 5 มีเจตนาเดียวที่จะเสนอจำหน่ายสินค้าจำนวนดังกล่าว ในคราวเดียวกัน เพียงแต่แยกวางจำหน่ายในสถานที่ต่างกันเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 5 จึงเป็นความผิดกรรมเดียว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 มีสินค้าของกลางไว้เพื่อจำหน่าย ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ริบสินค้าของกลางได้ตามพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 115 โดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าของกลาง เป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเป็นสินค้าที่ผลิตใน ราชอาณาจักร และไม่จำต้องปรับบทริบทรัพย์สินค้าของกลางตาม ประมวลกฎหมายอาญาอันเป็นบททั่วไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4537-4540/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสนอจำหน่ายสินค้าปลอมเครื่องหมายการค้า ความผิดกรรมเดียว การริบของกลาง และการแก้ไขโทษ
คดีความผิดอันไม่อาจยอมความได้ พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจทำการสอบสวนหรือดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดคดีนี้ได้โดยไม่จำต้องมีคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายตามระเบียบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 ดังนั้น ผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายมอบอำนาจช่วงโดยชอบหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานอัยการโจทก์มีคำสั่งและฟ้อง การสอบสวนตลอดจนอำนาจฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เสียหายได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นรูปและคำคือ และเครื่องหมายการค้าเป็นคำว่า "SQUARE D" แยกต่างหากจากกัน ผู้เสียหายจึงมีสิทธิที่จะเลือกใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเครื่องหมายใดเครื่องหมายหนึ่งเพียงเครื่องหมายเดียวกับสินค้าของตน หรือจะใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวทั้งสองเครื่องหมายประกอบกันกับสินค้าของตนก็ได้ การเสนอจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายปลอม แม้จะเป็นการปลอมเพียงเครื่องหมายเดียวก็อาจเป็นความผิดตามฟ้องได้
มาตรา 114 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ใช้บังคับเมื่อกรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคลรู้เห็นหรือยินยอมในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเท่านั้น แต่ไม่ถึงขั้นเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับนิติบุคคล เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นนิติบุคคล และลงโทษมาตรา 114 มาด้วย จึงไม่ถูกต้อง
สินค้าของกลางทั้งสี่สำนวนจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในวันเวลาเดียวกันหรือคราวเดียว ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาเดียวที่จะเสนอจำหน่ายสินค้าจำนวนดังกล่าวในคราวเดียวกัน เพียงแต่จำเลยแบ่งสินค้านำไปวางเสนอจำหน่ายเพื่อหากำไรหลายสถานที่ แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยเป็นสี่สำนวน เมื่อมีการรวมพิจารณาจึงต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว
การมีสินค้าของกลางไว้เพื่อจำหน่าย เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ริบสินค้าของกลางได้ ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 115 โดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าของกลางเป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเป็นสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร และเมื่อพิพากษาให้ริบสินค้าของกลางตามมาตรา 115 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทริบทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 32 และ 33 อันเป็นบททั่วไปอีก
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/43 )

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4092/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิคัดค้านคำร้องขอจัดการมรดก แม้ศาลจะส่งหมายนัดไต่สวนแล้ว ผู้มีส่วนได้เสียยังยื่นคำคัดค้านได้ก่อนการไต่สวน
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขอจัดการมรดกต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิได้บัญญัติให้ต้องมีการส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องขอให้แก่ผู้ใด การที่ศาลชั้นต้นประกาศคำร้องขอและกำหนดนัดไต่สวนทางหนังสือพิมพ์โดยกำหนดไต่สวน หลังจากครบกำหนดประกาศดังกล่าวเกินกว่า 15 วัน เป็นการชอบแล้ว และตามประกาศของศาลชั้นต้นกำหนดว่า ถ้าผู้ใดจะคัดค้านคำร้องขอนี้ประการใดให้ยื่นคำร้องต่อศาลก่อนกำหนดนี้ ซึ่งหมายความว่าผู้มีส่วนได้เสียอาจยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอของผู้ร้องได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะลงมือไต่สวนสืบพยานของผู้ร้อง หากมีการเลื่อนการไต่สวนออกไปโดยที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ทำการไต่สวน สิทธิในการยื่นคำร้องคัดค้าน ของผู้มีส่วนได้เสียก็ยังคงมีอยู่
การที่ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งหมายนัดไต่สวนและสำเนาคำร้องขอของผู้ร้องให้ผู้คัดค้านจะเป็นการแจ้งให้ ผู้มีส่วนได้เสียทราบโดยตรงเพื่อจะได้สิทธิในการยื่นคำร้องคัดค้านได้โดยสะดวกก็ตาม แต่หากไม่มีการส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องขอของผู้ร้องให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านก็ชอบที่จะยื่นคำร้องคัดค้านเมื่อใดก็ได้ก่อนที่ศาลชั้นต้น จะลงมือไต่สวน การที่ศาลชั้นต้นกำหนดเวลาแก่ผู้คัดค้านตามที่ระบุไว้ในหมายนัด จึงไม่กระทบถึงสิทธิของผู้คัดค้านในอันที่จะยื่นคำร้องคัดค้านตามกำหนดในประกาศคำร้องขอและกำหนดนัดไต่สวนของศาลชั้นต้น เมื่อผู้คัดค้านยื่น คำร้องคัดค้านก่อนที่ศาลชั้นต้นจะไต่สวนคำร้องขอของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นก็ต้องรับคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านไว้พิจารณา จะนับเวลาตามหมายนัดมาตัดสิทธิของผู้คัดค้านหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4092/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิคัดค้านคำร้องขอจัดการมรดก: ศาลไม่ควรกำหนดเวลาแตกต่างจากประกาศ หากไม่มีการส่งหมายนัดก็ยื่นได้ก่อนไต่สวน
แม้การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดไต่สวนและสำเนาคำร้องขอของผู้ร้องในคดีไม่มีข้อพิพาทให้ผู้คัดค้านจะเป็นการแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบโดยตรงเพื่อใช้สิทธิร้องคัดค้านได้โดยสะดวกก็ตาม แต่ศาลก็ไม่ควรกำหนดเวลาสำหรับการยื่นคำร้องคัดค้านให้ต่างไปจากประกาศคำร้องขอและกำหนดนัดไต่สวนที่ประกาศทางหนังสือพิมพ์จนเสียหายแก่สิทธิของผู้คัดค้าน ซึ่งหากไม่มีการส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องขอผู้คัดค้านก็ชอบที่จะร้องคัดค้านเมื่อใดก็ได้ก่อนที่ศาลจะไต่สวน ฉะนั้นเมื่อผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านก่อนที่ศาลชั้นต้นจะไต่สวนคำร้องขอ ศาลชั้นต้นก็ต้องรับคำร้องคัดค้านไว้พิจารณา จะนับระยะเวลาตามหมายนัดมาตัดสิทธิของผู้คัดค้านหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3888/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องขออธิบายคำพิพากษาศาลฎีกาไปยังศาลฎีกา และอำนาจศาลฎีกามีคำสั่งเองได้
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอธิบายคำพิพากษาศาลฎีกาศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนและคำร้องของจำเลยดังกล่าวไปให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่ง ศาลชั้นต้นจะสั่งคำร้องของจำเลยเสียเองหาได้ไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในกรณีเช่นนี้ได้ แต่เมื่อคดีมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำสั่งไปโดยไม่ต้องให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3888/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องฎีกาไปยังศาลฎีกา – ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบ
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาอธิบายคำพิพากษาศาลฎีกาศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนและคำร้องของจำเลยดังกล่าวไปให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่งศาลชั้นต้นจะสั่งคำร้องของจำเลยเสียเองหาได้ไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในกรณีเช่นนี้ได้ แต่เมื่อคดีมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำสั่งไปโดยไม่ต้องให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3880/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินด้วยกลฉ้อฉลและการบอกล้างนิติกรรมโมฆียะ รวมถึงผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลที่สาม
โจทก์ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 เพราะถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงว่าจะชำระราคาที่ดินพิพาทด้วยเงินสด และจำเลยที่ 1 มีฐานะดี เช็คที่นาย ย. พวกของจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายก็จะเรียกเก็บเงินได้ หากจำเลยที่ 1 กับพวกไม่หลอกลวงเช่นนี้โจทก์จะไม่ทำสัญญาซื้อขายด้วย ดังนี้ การแสดงเจตนาขายที่ดินพิพาทของโจทก์ถือได้ว่าเกิดขึ้นเพราะถูกกลฉ้อฉล ทำให้นิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ฟ้องคดีขอให้เพิกถอนย่อมมีผลเป็นการบอกล้างโมฆียะกรรม ทำให้นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และคู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 176 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้ที่ดินพิพาทมาโดยการทำกลฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ได้ที่ดินพิพาทโดยการรับซื้อฝากจากจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 2 จะอ้างสิทธิตามสัญญาขายฝากขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้บอกล้างโมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลหาได้ไม่ นิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองไม่มีผลใด ๆ ตามกฎหมาย
of 47