คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุรชาติ บุญศิริพันธ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 467 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8878/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพ้นโทษปรับตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า ถือเป็นการพ้นโทษตามกฎหมาย และมีผลในการเพิ่มโทษทวีคูณได้
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 113 บัญญัติว่า"บุคคลใดกระทำความผิดต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อพ้นโทษแล้วยังไม่ครบกำหนดห้าปี กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้อีก ให้วางโทษทวีคูณ"ไม่ได้ระบุว่าการพ้นโทษจะต้องเป็นการพ้นโทษจำคุกอย่างเดียว การปรับก็ถือว่าเป็นโทษอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18(4) ดังนั้นแม้คดีก่อนศาลจะลงโทษจำคุกและรอการลงโทษให้จำเลยแต่ปรากฏว่าคดีนั้นศาลก็ได้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งด้วย เมื่อมีการชำระค่าปรับครบถ้วนในวันเวลาใดย่อมถือว่าจำเลยได้พ้นโทษในวันที่ชำระค่าปรับนั้นแล้ว เมื่อคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยเคยถูกศาลลงโทษปรับตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาแล้วและพ้นโทษปรับมายังไม่ครบ 5 ปี จำเลยกลับมากระทำความผิดคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 เช่นเดียวกันจึงต้องวางโทษทวีคูณแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8463/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตทางพิพาท: แก้ไขแนวทางตามแผนที่จริงเพื่อความถูกต้องและไม่กระทบสิทธิผู้อื่น
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม แต่ก็อ้างว่าเป็นทางสาธารณะด้วย ก็เพื่อขอให้บังคับจำเลยเปิดทางพิพาท ส่วนทางพิพาทจะเป็นทางภาระจำยอมหรือทางสาธารณะก็สุดแล้วแต่ว่าข้อเท็จจริงในการพิจารณาจะต้องด้วยหลักเกณฑ์ของกฎหมายว่าทางพิพาทเป็นทางชนิดใด คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ทางพิพาทมีความกว้าง 2.50 เมตรโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้เถียงเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังได้เป็นยุติ แต่ตามแผนที่วิวาทแสดงชัดว่าทางพิพาทหาได้มีสภาพเป็นเส้นขนานทับแนวเขตที่ดินของจำเลยและบุคคลอื่นโดยล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายละเท่า ๆ กันไม่ เพราะบางตอนอาจกินเนื้อที่ของจำเลยน้อยหรือมากแตกต่างกันไป การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทำทางพิพาทลึกจากแนวเขตเส้นสีดำตามแผนที่วิวาทเข้าไปในที่ดินของจำเลยมีความกว้าง 1.25 เมตร ตลอดแนวทางพิพาทจึงไม่ตรงกับแนวทางพิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่วิวาท และอาจกระทบถึงที่ดินของบุคคลอื่นซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ ส่วนคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็กำหนดแนวเขตชัดเจนเกินไปจนอาจจะคลาดเคลื่อนไปจากแนวเขตทางพิพาทตามแผนที่วิวาทซึ่งคู่ความมิได้โต้เถียงกันถึงความถูกต้องได้ศาลฎีกาสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเป็นว่า ให้จำเลยทำทางพิพาทเฉพาะส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของจำเลยให้เป็นไปตามรูปแผนที่วิวาท โดยให้ทางพิพาทมีความกว้าง 2.50เมตร ตลอดแนวทาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8463/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แนวเขตทางพิพาทต้องเป็นไปตามแผนที่ หากศาลชั้นต้น/อุทธรณ์พิพากษาไม่ตรงตามแผนที่ สมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม แต่ก็อ้างว่าเป็นทางสาธารณะด้วย ก็เพื่อขอให้บังคับจำเลยเปิดทางพิพาท ส่วนทางพิพาทจะเป็นทางภาระจำยอมหรือทางสาธารณะก็สุดแล้วแต่ว่าข้อเท็จจริงในการพิจารณาจะต้องด้วยหลักเกณฑ์ของกฎหมายว่าทางพิพาทเป็นทางชนิดใด คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ทางพิพาทมีความกว้าง 2.50 เมตร โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้เถียงเป็นอย่างอื่น จึงรับฟังได้เป็นยุติ แต่ตามแผนที่วิวาทแสดงชัดว่าทางพิพาทหาได้มีสภาพเป็นเส้นขนานทับแนวเขตที่ดินของจำเลยและบุคคลอื่นโดยล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายละเท่า ๆ กันไม่ เพราะบางตอนอาจกินเนื้อที่ของจำเลยน้อยหรือมากแตกต่างกันไป การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทำทางพิพาทลึกจากแนวเขตเส้นสีดำตามแผนที่วิวาทเข้าไปในที่ดินของจำเลยมีความกว้าง 1.25 เมตร ตลอดแนวทางพิพาทจึงไม่ตรงกับแนวทางพิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่วิวาท และอาจกระทบถึงที่ดินของบุคคลอื่นซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ ส่วนคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็กำหนดแนวเขตชัดเจนเกินไปจนอาจจะคลาดเคลื่อนไปจากแนวเขตทางพิพาทตามแผนที่วิวาทซึ่งคู่ความมิได้โต้เถียงกันถึงความถูกต้องได้ศาลฎีกาสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเป็นว่า ให้จำเลยทำทางพิพาทเฉพาะส่วนที่อยู่ในเขตที่ดินของจำเลยให้เป็นไปตามรูปแผนที่วิวาท โดยให้ทางพิพาทมีความกว้าง2.50 เมตร ตลอดแนวทาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4074/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิใช้ชื่อสกุลร่วม: การอนุญาตมีผลผูกพันและไม่สามารถเพิกถอนได้โดยไม่มีเหตุผล
เมื่อโจทก์เป็นผู้จดทะเบียนตั้งชื่อสกุลไว้แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิอนุญาตให้จำเลยใช้ชื่อสกุลร่วมด้วยได้โดยดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา 11 แต่เมื่อมีการอนุญาตแล้ว จำเลยผู้ได้รับอนุญาตย่อมมีสิทธิใช้ชื่อสกุลร่วมกับโจทก์เสมือนหนึ่งเป็นเจ้าของชื่อสกุลนั้นเอง กล่าวคือหากจำเลยสมรสกับหญิง หญิงผู้เป็นภริยารวมทั้งบุตรก็มีสิทธิใช้ชื่อสกุลของโจทก์ด้วยและการอนุญาตให้ใช้ชื่อสกุลร่วมด้วยเช่นนี้ หาใช่เรื่องที่อาจจะเพิกถอนการอนุญาตเสียเมื่อใดก็ได้ตามอำเภอใจของโจทก์ไม่ ดังที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้ชื่อสกุลของโจทก์ไปในทางที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือแก่ชื่อเสียงของชื่อสกุลของโจทก์อันอาจเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่โจทก์จะห้ามมิให้จำเลยใช้ชื่อสกุลร่วมกับโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4074/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการใช้ชื่อสกุลร่วมและการเพิกถอน: การอนุญาตใช้ชื่อสกุลร่วมมีผลเสมือนเจ้าของสกุล และไม่สามารถเพิกถอนได้โดยอำเภอใจ
เมื่อโจทก์เป็นผู้จดทะเบียนตั้งชื่อสกุลไว้แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิอนุญาตให้จำเลยใช้ชื่อสกุลร่วมด้วยได้โดยดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา 11แต่เมื่อมีการอนุญาตแล้ว จำเลยผู้ได้รับอนุญาตย่อมมีสิทธิใช้ชื่อสกุลร่วมกับโจทก์เสมือนหนึ่งเป็นเจ้าของชื่อสกุลนั้นเองกล่าวคือ หากจำเลยสมรสกับหญิง หญิงผู้เป็นภริยารวมทั้งบุตรก็มีสิทธิใช้ชื่อสกุลของโจทก์ด้วยและการอนุญาตให้ใช้ชื่อสกุลร่วมด้วยเช่นนี้ หาใช่เรื่องที่อาจจะเพิกถอนการอนุญาตเสียเมื่อใดก็ได้ตามอำเภอใจของโจทก์ไม่ ดังที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้ชื่อสกุลของโจทก์ไปในทางที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือแก่ชื่อเสียงของชื่อสกุลของโจทก์อันอาจเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่โจทก์จะห้ามมิให้จำเลยใช้ชื่อสกุลร่วมกับโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอก, แจ้งความเท็จ, และการเรียงกระทงลงโทษในคดีอาญา
++ เรื่อง ยักยอก ฉ้อโกง ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ++
ในกรณีที่ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนนิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาต่อนิติบุคคลเสียเองนั้นผู้แทนของนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดย่อมไม่จัดการแทนนิติบุคคลโดยฟ้องร้องกล่าวหาตนเองต่อศาล ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้นย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิด และ ป.พ.พ.มาตรา 1169 บัญญัติให้ผู้ถือหุ้นฟ้องคดีได้หากกรรมการทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทและบริษัทไม่ฟ้องคดี ดังนี้จึงถือได้ว่าผู้ถือหุ้นในบริษัท พ.เป็นผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2(4) มีอำนาจฟ้องคดีได้ตามมาตรา 28(2) โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งหกในความผิดฐานยักยอก
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะกรรมการบริษัท พ.ร่วมกันทำรายงานการประชุมของบริษัท พ.ว่า โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทไม่ได้นำเงินมาให้บริษัทกู้ยืมตามสัดส่วนที่ถือหุ้นเพื่อชำระราคาที่ดินเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ต้องหาเงินมาให้บริษัทกู้ยืมแทน และที่ดินพิพาทไม่เป็นประโยชน์แก่บริษัทจึงเห็นสมควรขายให้จำเลยที่ 3 ในราคา 21,000,000 บาท อันเป็นความเท็จ การที่จำเลยที่ 2ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3โดยไม่มีการซื้อขายกันจริง เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท พ.ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ได้ทำรายงานการประชุมมีข้อความว่าได้ติดต่อซื้อที่ดินพิพาทจากบริษัท พ. ซึ่งเป็นข้อความเท็จ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการยักยอกทรัพย์ของบริษัท พ.
ในวันที่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท บริษัท พ.ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ทำการขายที่ดินพิพาทตลอดจนให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ผู้ซื้อที่ดินพิพาทคือจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ แต่เนื่องจากคู่สัญญาต่างเป็นนิติบุคคลจึงต้องแสดงหนังสือรับรองการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินด้วยเพื่อตรวจสอบอำนาจของกรรมการของนิติบุคคลนั้น และคู่สัญญาต้องส่งรายงานการประชุมของนิติบุคคลดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบเจตนาและวัตถุประสงค์ของคู่สัญญาด้วย ข้อเท็จจริงรับฟังว่ารายงานการประชุมของบริษัท พ.เป็นเอกสารเท็จ และไม่มีการซื้อขายที่ดินพิพาทกันจริง ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ให้ถ้อยคำดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินจึงเป็นการแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานในการซื้อขาย โดยประการที่ทำให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท พ.ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานยักยอก ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการและฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และเห็นว่าความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการเป็นกรรมเดียว แต่เป็นคนละกรรมกับความผิดฐานยักยอก และเรียงกระทงลงโทษเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานยักยอกเพียงบทเดียวจึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาแก้โทษของจำเลยที่ 3ที่ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษมา กลับพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอก, แจ้งความเท็จ, และการซื้อขายที่ดินด้วยเอกสารเท็จ: ศาลพิจารณาความผิดกรรมเดียวและลงโทษฐานหนักสุด
ในกรณีที่ผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนนิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาต่อนิติบุคคลเสียเองนั้น ผู้แทนของนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดย่อมไม่จัดการแทนนิติบุคคลโดยฟ้องร้องกล่าวหาตนเองต่อศาล ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้นย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169บัญญัติให้ผู้ถือหุ้นฟ้องคดีได้หากกรรมการทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทและบริษัทไม่ฟ้องคดี ถือได้ว่าผู้ถือหุ้นในบริษัทเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) มีอำนาจฟ้องคดีได้ตามมาตรา 28(2)
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะกรรมการบริษัท พ. ร่วมกันทำรายงานการประชุมของบริษัท อันเป็นความเท็จและจำเลยที่ 2ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทของบริษัทให้แก่จำเลยที่ 3 โดยไม่มีการซื้อขายกันจริง เป็นเหตุให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการยักยอกที่ดินพิพาทของบริษัท
ในวันที่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท คู่สัญญาต่างเป็นนิติบุคคลจึงต้องแสดงหนังสือรับรองการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินด้วยเพื่อให้ตรวจสอบอำนาจของกรรมการของนิติบุคคลนั้น และคู่สัญญาต้องส่งรายงานการประชุมของนิติบุคคลดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบเจตนาและวัตถุประสงค์ของคู่สัญญาด้วย การที่จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ผู้รับมอบอำนาจให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินเป็นการแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานในการซื้อขายโดยประการที่ทำให้ผู้ถือหุ้นในบริษัทได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานยักยอก ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ และฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และเห็นว่าความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการเป็นกรรมเดียว แต่เป็นคนละกรรมกับความผิดฐานยักยอกและให้เรียงกระทงลงโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันและให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานยักยอกเพียงบทเดียวจึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาแก้โทษของจำเลยที่ 3 ที่ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษมานั้นเป็นการไม่ชอบ
of 47