คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 294 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4154/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายต้องเป็นการกระทำตอบโต้ภัยที่กำลังจะเกิดขึ้น มิใช่การแก้แค้นหรือโต้เถียง
โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 เพียงมีเรื่องโต้เถียงกันเท่านั้น แล้วโจทก์ร่วมไม่ได้กระทำอะไรอื่นอีก แม้จำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ร่วมเคยให้มีด พ. แทงจำเลยที่ 1 และโจทก์ร่วมขู่จะแทงจำเลยที่ 1 ด้วย ก็เป็นเพียงคำพูดโต้ตอบกันเพราะขณะนั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อน การที่จำเลยที่ 1 ถือมีดของกลางเข้าไปหาโจทก์ร่วมแต่ถูกโจทก์ร่วมแย่งมีด แล้วจำเลยที่ 1 ใช้มีดของกลางแทงปักติดที่ไหล่ของโจทก์ร่วมนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 โกรธโจทก์ร่วมเองโดยที่โจทก์ร่วมไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดกับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน และทำร้ายโจทก์ร่วมโดยใช้มีดของกลางแทงโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส จึงไม่ถือว่าเป็นการป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและไม่มีภยันอันตรายที่ใกล้จะถึง การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่อาจยกเอาเหตุป้องกันโดยชอบขึ้นมาอ้างได้ เพราะการป้องกันโดยชอบตาม ป.อ. มาตรา 68 ต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำถูกกระทำฝ่ายเดียวก่อนจึงได้กระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4136/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ: การขุดดินในที่ดินของผู้อื่นโดยมีเจตนาทำให้เกิดความเสียหาย
ที่ดินที่เกิดเหตุเป็นของผู้เสียหาย จำเลยมีสิทธิเพียงครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน จำเลยชอบจะใช้ประโยชน์ในที่ดินตามปกติ การที่จำเลยอนุญาตให้ผู้อื่นขุดเอาดินไปโดยได้รับเงินค่าตอบแทน แล้วอ้างว่าจะทำสระเก็บน้ำในที่ดินที่เกิดเหตุเมื่อมีการขุดดินในที่ดินที่เกิดเหตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 20 เมตร ยาว 50 เมตร ลึก 7 เมตร คิดเป็นปริมาตรดินประมาณ 21,000 ลูกบาศก์เมตร นั้น เป็นการขุดดินที่มีความลึกและกว้างอย่างมาก จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าจะต้องมีการใช้เครื่องจักรเช่นรถแบ็กโฮตักดินในที่ดินที่เกิดเหตุจึงจะสามารถทำให้ที่เกิดเหตุเป็นหลุมขนาดใหญ่เช่นนั้นได้ เมื่อมีการใช้รถแบ็กโฮขุดเอาดินในที่ดินที่เกิดเหตุ จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาใช้รถแบ็กโฮเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวนแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์นั้นไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะซึ่งต้องรับโทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4111/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานรับของโจร: การกระทำโดยรู้หรือน่ารู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาจากการกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร จำเลยต่อสู้อ้างฐานที่อยู่โดยอ้างว่าตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่ได้ไปในที่เกิดเหตุ ความผิดฐานรับของโจรก็ต่างวัน เวลา และสถานที่ที่โจทก์ฟ้อง เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้นั้น เมื่อจำเลยนำสืบรับว่าได้บอกขายเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายที่ 2 ให้แก่นาย ข. แสดงว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ในเรื่องรับของโจรแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3879/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หุ้นส่วนโรงงานรับเงินแล้วไม่แบ่งให้หุ้นส่วน ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก เป็นเรื่องแพ่ง
เงินที่จำเลยรับมาในฐานะเป็นผู้บริหารกิจการประกอบกิจการโรงงาน ทั้งจำเลยเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ร่วมประกอบกิจการนั้น โจทก์ร่วมจะมีสิทธิได้เงินดังกล่าวหรือไม่ เพียงใด ก็ต้องอาศัยสัญญาหุ้นส่วนที่มีต่อกันเท่านั้น การที่จำเลยไม่ส่งเงินดังกล่าวให้โจทก์ร่วมก็เป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมจะเรียกร้องเอาแก่จำเลยในทางแพ่ง จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ.มาตรา 352 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3545/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์คณะผู้พิพากษาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบ
ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี แต่ปรากฏว่าองค์คณะของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ทำคำพิพากษาครั้งหลังมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 29 (3), 30 เนื่องจากคดีนี้คู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำพยานเข้าสืบจนเสร็จการพิจารณาแล้ว แต่องค์คณะผู้พิพากษาที่ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาครั้งหลังเป็นคนละองค์คณะกันกับครั้งแรก ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ จึงเป็นการทำคำพิพากษาที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ส่วนที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังว่า ศาลชั้นต้นเลื่อนคดีไปนัดฟังคำพิพากษาใหม่ โดยมีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลของศาลชั้นต้นในขณะนั้น กับผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอีกคนหนึ่งลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวก็ถือไม่ได้ว่า ผู้พิพากษาทั้งสองคนนั้นเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้มาแต่ต้น อันจะมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาในครั้งหลังได้ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นฉบับนี้จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3503/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีรับจ้างเหมา กรณีงานเชื่อมโยงกับกิจการค้าของลูกหนี้
จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ้านให้จำเลยเพื่อที่จำเลยจะนำไปขาย เป็นกรณีที่โจทก์รับจ้างทำของให้แก่จำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าการงานที่ได้ทำ แต่การที่โจทก์ก่อสร้างให้แก่จำเลยนั้น จำเลยกระทำเพื่อนำไปจำหน่ายในโครงการจัดสรรที่ดินตามวัตถุประสงค์จำเลย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ จึงมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3503/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาจ้างเหมา: การก่อสร้างเพื่อกิจการค้าของลูกหนี้มีอายุความ 5 ปี
จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างบ้านให้จำเลยเพื่อที่จำเลยจะนำไปขายเป็นกรณีที่โจทก์รับจ้างทำของให้แก่จำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าการงานที่ได้ทำ แต่การที่โจทก์ก่อสร้างให้แก่จำเลยนั้น จำเลยกระทำเพื่อนำไปจำหน่ายในโครงการจัดสรรที่ดินตามวัตถุประสงค์ของจำเลย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ จึงมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3490/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของผู้บริโภค และการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายเมื่อจำเลยผิดสัญญา
เมื่อมีผู้บริโภคหลายรายรวมทั้งผู้บริโภคหกรายที่ได้ร้องเรียนต่อโจทก์ว่าถูกจำเลยละเมิดสิทธิของผู้บริโภคทั้งหก โจทก์ในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคจึงมีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแก่จำเลยอันเป็นการดำเนินคดีเพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวมได้โดยไม่จำต้องให้ผู้บริโภคทั้งหกทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดี และเมื่อโจทก์มีคำสั่งตั้งพนักงานอัยการเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้มีหน้าที่ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาแก่ผู้กระทำละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในศาลแล้ว พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้องคดีเองได้โดยไม่จำต้องได้รับแต่งตั้งเป็นทนายความอีก
แม้สัญญาจะซื้อจะขายจะได้ระบุว่าจำเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมบ้านเมื่อผู้บริโภคทั้งหกรายชำระเงินดาวน์ครบถ้วนตามสัญญาแล้ว และ พ. กับ น. ซึ่งเป็นผู้บริโภคจะชำระเงินดาวน์ยังไม่ครบถ้วนแต่ก็เนื่องมาจากจำเลยไม่ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จตามสัญญาและละทิ้งการก่อสร้างจนระยะเวลาอันสมควรที่จะต้องก่อสร้างบ้านพิพาทให้แล้วเสร็จได้ล่วงเลยมาแล้วเป็นเวลาประมาณ 5 ปี จำเลยจึงผิดสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์มีอำนาจบอกเลิกสัญญาได้ แม้จะให้เวลาจำเลยปฏิบัติตามสัยญาเพียง 15 วันก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3007/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักกลบลบหนี้ต้องเป็นบุคคลสองฝ่ายที่มีความผูกพันโดยมูลหนี้เดียวกัน แม้เป็นบริษัทในเครือก็ไม่อาจนำหนี้ของบริษัทอื่นมาหักกลบได้
ผู้ที่จะหักกลบลบหนี้กันได้จะต้องเป็นบุคคลสองคนและมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน แม้บริษัท น. จะเป็นบริษัทในเครือเดียวกับจำเลยที่ 1 แต่บริษัท น. ก็เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากไปจากจำเลยที่ 1 มีผู้ถือหุ้นแตกต่างจากกัน การจัดทำงบดุลบัญชีแยกต่างหากจากกัน แม้บริษัท น. จะมีสิทธิเรียกร้องหรือเป็นเจ้าหนี้โจทก์อยู่ จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิที่จะไปนำหนี้ดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ ทั้งนี้เพราะหนี้สินระหว่างโจทก์กับบริษัท น. เป็นความผูกพันของโจทก์กับบริษัท น. ส่วนหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นความผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แยกต่างหากจากกันจะนำมาหักกลบลบหนี้กันไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2929/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีผู้บริโภค, การบอกเลิกสัญญาซื้อขายเนื่องจากจำเลยผิดสัญญา, และอายุความ
โจทก์ได้รับคำร้องขอจากผู้บริโภคทั้งสี่ให้ดำเนินคดีแทนแล้วโจทก์จึงมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานอัยการเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้มีอำนาจฟ้องคดีแก่จำเลยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 10 และมาตรา 39 วรรคหนึ่ง กรณีไม่จำต้องมีหนังสือมอบอำนาจตามฎีกาของจำเลย
คดีนี้โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานอัยการเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคแล้ว จึงเป็นกรณีที่พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องคดีเอง มิใช่ผู้บริโภคเป็นผู้ฟ้อง ผู้บริโภคจึงไม่จำต้องแต่งตั้งพนักงานอัยการให้ฟ้องคดี
แม้สัญญาจะซื้อจะขายมิได้ระบุว่าจำเลยต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จเมื่อใด แต่ผู้บริโภคตกลงจะซื้อบ้านตั้งแต่ปี 2536 และผ่อนชำระเงินดาวน์เรื่อยมาจนครบตามสัญญาในปี 2538 ประกอบกับสัญญาระบุว่า ผู้จะขายจะจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินได้ภายหลังจากผู้บริโภคชำระเงินดาวน์ครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ดังนั้น จึงเป็นการคาดการณ์ของคู่สัญญาได้ว่าจำเลยจะต้องก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายในปี 2539 หรือ ปี 2540 เป็นอย่างช้า แต่จำเลยกลับก่อสร้างไม่แล้วเสร็จและละทิ้งการก่อสร้างจนถึงปี 2546 โดยจำเลยไม่ได้ดำเนินการก่อสร้างต่อแต่ปล่อยทิ้งร้างไว้ถึง 5 ปี จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้บริโภคมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
ตามสัญญาจะซื้อจะขาย ระบุทำนองเดียวกันว่าให้ผู้บริโภคชำระเงินดาวน์ 15 งวด เมื่อผู้บริโภคชำระเงินดาวน์ครบถ้วนแล้ว ดังนั้น สิทธิเรียกร้องของผู้บริโภคย่อมเกิดขึ้นเมื่อได้ชำระเงินดาวน์ครบถ้วน เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2547 ซึ่งนับจากวันครบกำหนดชำระเงินดาวน์ของผู้บริโภคจนถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
of 30