พบผลลัพธ์ทั้งหมด 586 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7910/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาจากการขับรถโดยประมาทและไม่คำนึงถึงความปลอดภัยผู้อื่น การปรับบทลงโทษตามกฎหมายจราจร
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นและขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 160 มาด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงต้องฟังว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องดังกล่าวด้วยแต่ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวและศาลอุทธรณ์ภาค 6 มิได้พิพากษาแก้ไข จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องโดยไม่เพิ่มเติมโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7909/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาทขับรถจนผู้อื่นถึงแก่ความตาย และการไม่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ศาลฎีกาแก้ไขโทษและวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับความเร็ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทโดยขับด้วยความเร็วสูงเกินสมควรจนไม่สามารถหยุดหรือลดความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะหลบหลีกไม่ชนรถคันอื่นหรือสิ่งอื่นใดที่กีดขวางอยู่ข้างหน้าได้ทัน โดยมิได้บรรยายฟ้องอ้างเหตุว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วเกินที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือตามเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้ในทาง แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 67, 152 ตามคำขอท้ายฟ้องได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7705/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก: กรณีจอดรถกีดขวางการจราจร และการพิจารณาโทษจากส่วนประมาทของผู้ตาย
ความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ประสงค์ที่จะลงโทษผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางไม่ว่าจะกระทำโดยประมาทหรือไม่ก็ตาม และก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรและพร้อมทั้งแสดงตัว และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที หาใช่กรณีผู้ขับรถที่จอดรถอยู่ไม่
แม้จำเลยจะมีอาชีพรับจ้างขับรถบรรทุกและควรจะทราบดีว่าการกระทำของตนจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้ถนน แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์โดยมีผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายมาด้วยความเร็ว เหตุที่เกิดขึ้นผู้ตายจึงมีส่วนประมาทอยู่ด้วย การกระทำของจำเลยจึงไม่ร้ายแรงมากนัก ทั้งจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้ตายและผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป ถือได้ว่าจำเลยได้พยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย
แม้จำเลยจะมีอาชีพรับจ้างขับรถบรรทุกและควรจะทราบดีว่าการกระทำของตนจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้ถนน แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์โดยมีผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายมาด้วยความเร็ว เหตุที่เกิดขึ้นผู้ตายจึงมีส่วนประมาทอยู่ด้วย การกระทำของจำเลยจึงไม่ร้ายแรงมากนัก ทั้งจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้ตายและผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป ถือได้ว่าจำเลยได้พยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7705/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิด พ.ร.บ.จราจรทางบก กรณีจอดรถกีดขวางทางและหลบหนีหลังเกิดเหตุ ไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 78
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 11 และมาตรา 78 วรรคหนึ่ง ประสงค์ที่จะลงโทษผู้ขับรถในทางในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นโดยไม่เปิดโคมไฟให้แสงสว่าง และลงโทษผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที หาใช่กรณีประสงค์จะลงโทษผู้ขับรถที่จอดรถอยู่ไม่
จำเลยกระทำโดยประมาทจอดรถยนต์บนถนนกีดขวางทางจราจร ทั้งไม่ได้เปิดโคมไฟให้แสงสว่าง เพื่อแสดงว่ามีรถยนต์จอดอยู่ เป็นเหตุให้ผู้ตายและผู้เสียหายซึ่งขับรถจักรยานยนต์และซ้อนท้ายกันมาชนท้ายรถยนต์ของจำเลย แล้วจำเลยหลบหนีไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 11, 148 และมาตรา 78, 160 ตามที่โจทก์ฟ้อง ทั้งโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยขับรถโดยมีเครื่องอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 6 วรรคสอง ตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง, 215 และ 225
จำเลยกระทำโดยประมาทจอดรถยนต์บนถนนกีดขวางทางจราจร ทั้งไม่ได้เปิดโคมไฟให้แสงสว่าง เพื่อแสดงว่ามีรถยนต์จอดอยู่ เป็นเหตุให้ผู้ตายและผู้เสียหายซึ่งขับรถจักรยานยนต์และซ้อนท้ายกันมาชนท้ายรถยนต์ของจำเลย แล้วจำเลยหลบหนีไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 11, 148 และมาตรา 78, 160 ตามที่โจทก์ฟ้อง ทั้งโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยขับรถโดยมีเครื่องอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 6 วรรคสอง ตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง, 215 และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7432/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับการครอบครองยาเสพติด และข้อจำกัดในการเปลี่ยนแปลงคำแก้ฎีกา
คำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 112 เม็ด ของกลางนั้น คำแก้ฎีกาดังกล่าวเป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาเช่นนี้หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7352/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถจักรยานยนต์ ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณารอการลงโทษจำคุกจากเหตุผลหลายประการ
นอกจากจำเลยทั้งสองจะขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงลงจากสะพานแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ขับรถโดยฝ่าฝืนกฎจราจรอื่น หรือสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ร่วมใช้เส้นทางในการประการอื่นอีก ทั้งจุดที่เกิดการชนกันก็เป็นบริเวณช่องเดินรถตามปกติของจำเลยทั้งสองและเกิดขึ้นขณะที่ผู้ตายกำลังข้ามถนนในช่วงที่รถยนต์กำลังแล่นอยู่ ประกอบกับบริเวณที่เกิดเหตุแม้จะมีไฟฟ้าสาธารณะแต่ก็มีแสงสว่างค่อนข้างสลัว ดังนั้นแม้จะเกิดเหตุด้วยความประมาทของจำเลยทั้งสอง แต่ก็เป็นความประมาทที่ไม่ร้ายแรงนัก ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้พยายามบรรเทาความเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายด้วยการชดใช้เงินให้บางส่วนแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน กรณีจึงมีเหตุสมควรปราณีโดยการรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 และเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่า เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเกิดจากความประมาทของจำเลยทั้งสอง เป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งอันเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้ชดใช้เงินแก่ฝ่ายผู้เสียหายจำนวน 30,000 บาท และจำเลยที่ 1 มีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่ง กับมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาโดยให้รอการลงโทษไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7217/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาตอกเสาเข็ม: ระยะเวลาคืนเงินประกันเมื่อจำเลยไม่ตรวจสอบความเสียหาย
การเปิดหน้าดินเพื่อตรวจสอบความเสียหายของเสาเข็มและการก่อสร้างอาคารเป็นขั้นตอนของงานที่จะต้องดำเนินการต่อหลังจากมีการตอกเสาเข็มเสร็จ ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายว่าจะต้องดำเนินการเมื่อใด ก็ย่อมเป็นที่เข้าใจกันได้ว่าจำเลยจะต้องดำเนินการภายในระยะเวลาอันสมควร มิฉะนั้นโจทก์จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา เมื่อจำเลยไม่ดำเนินการภายในระยะอันพอสมควรเพื่อเปิดหน้าดินและตรวจสอบความเสียหายนั้น จึงต้องถือว่าเสาเข็มที่โจทก์ตอกเสร็จแล้วไม่เกิดความเสียหาย จำเลยจึงต้องคืนเงินประกันให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7185/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ เพราะไม่ได้ยกเหตุผลเดิมในศาลชั้นต้น ทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบกิจการค้าใช้ชื่อ "ร้านมะลิทองเภสัช" โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้จดทะเบียนพาณิชย์ระบุว่าเป็นผู้ประกอบกิจการพาณิชยกิจชนิดยาแผนปัจจุบัน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้ติดต่อซื้อสินค้าและชำระราคาให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์หลายครั้งและโจทก์ได้ส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยทั้งสองครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 2 ได้ชำระราคาให้แก่โจทก์บางส่วน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าสินค้าที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้สั่งซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์และไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินค้า พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 1 โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการดำเนินกิจการแทนตน โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ซื้อสินค้าไปจากโจทก์ตามข้ออ้างและคำขอบังคับในคำฟ้องของโจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7122/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินมัดจำตาม ป.พ.พ. มาตรา 377: การชำระราคาที่ดินเป็นงวดไม่ใช่เงินมัดจำ สิทธิริบเบี้ยปรับ
คำว่า "มัดจำ" ตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 คือทรัพย์สินซึ่งได้ให้ไว้ในวันทำสัญญา ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ให้ไว้ในวันอื่น สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ข้อ 3 ระบุว่า ในวันทำสัญญาโจทก์ผู้จะซื้อได้วางเงินมัดจำไว้ส่วนหนึ่งเป็นเงิน 10,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 914,000 บาท จะชำระเป็นงวดรายเดือน จำนวน 10 เดือน ดังนั้น เงินที่วางมัดจำไว้ในวันทำสัญญาดังกล่าวจึงมีเพียง 10,000 บาท เท่านั้น ส่วนเงินค่างวดที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยทั้งสามอีก 10 งวด เป็นเงิน 170,000 บาท นั้น แม้ตามสัญญาจะระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินมัดจำ ก็ไม่ใช่เงินมัดจำตามความหมายดังกล่าว แต่เป็นเพียงการชำระราคาที่ดินบางส่วน เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยทั้งสามบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์แล้ว สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวจึงเป็นอันเลิกกัน จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิริบเงินมัดจำจำนวน 10,000 บาท ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2) ส่วนเงินที่โจทก์ชำระค่าที่ดินบางส่วนดังกล่าว จำเลยทั้งสามต้องให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 แต่การที่โจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงกันให้ริบเงินดังกล่าวได้ตามสัญญาข้อ 13 ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดเป็นจำนวนเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ถ้าสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6906/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำสั่งศาลที่ไม่ชอบ และการพิจารณาคำร้องขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ถูกจำกัดสิทธิ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยจากจำคุก 1 ปี เป็นจำคุก 6 เดือน โดยมิได้แก้บทมาตราด้วย เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่า กรณีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย เป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยโดยให้เพิกถอนคำสั่งและการดำเนินการที่ไม่ชอบของศาลชั้นต้น และสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่า กรณีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย เป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยโดยให้เพิกถอนคำสั่งและการดำเนินการที่ไม่ชอบของศาลชั้นต้น และสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225