คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชวลิต ตุลยสิงห์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 586 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 838/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันชีวิต: การบอกล้างสัญญาและการคิดดอกเบี้ยผิดนัดเริ่มนับแต่วันบอกล้าง
ผู้เอาประกันชีวิตถึงแก่ความตาย วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยผู้รับประกันภัยมีหนังสือลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 ถึงโจทก์ผู้รับประโยชน์บอกล้างสัญญาประกันชีวิตและปฏิเสธการจ่ายเงินสินไหมมรณกรรม จึงเป็นการผิดสัญญาและถือว่าจำเลยผิดนัด โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้นับแต่วันดังกล่าว มิใช่นับแต่วันผู้เอาประกันถึงแก่ความตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและการฆ่าเพื่อความสะดวกในการกระทำผิด ศาลพิจารณาความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง
จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้ตายขึ้นรถยนต์กระบะไปกับจำเลยกับพวก อันเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เมื่อถึงที่เปลี่ยวจำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์ผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย แสดงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายเพื่อความสะดวกแก่การชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายในขณะที่การชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายยังไม่ขาดตอนจากกัน อันเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยใช้อาวุธปืน และฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิด เพื่อจะเอาและเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่จำเลยกับพวกได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ได้กระทำนั้นเอง จึงมิใช่เป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายอีกกรรมหนึ่งต่างหาก
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 โดยไม่ระบุวรรคไม่ถูกต้อง รวมทั้งเมื่อฟังว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 289 (6) (7) แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288 อีก นอกจากนี้โจทก์ขอให้ริบหัวกระสุนปืน 2 หัว และกระสุนปืนหัวตะกั่ว 1 นัด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ริบหัวกระสุนปืนทั้งหมดรวม 3 หัว ก็ไม่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำสัญญากู้เงินโดยความยินยอม การแก้ไขข้อตกลงเดิม และผลของการผิดสัญญา
จำเลยมีความรู้ด้านกฎหมายเป็นอย่างดี และมีประสบการณ์จากการเป็นทนายความ จึงย่อมต้องมีความระมัดระวัง และมีความละเอียดรอบคอบในการทำสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำสัญญาที่ผูกพันตนเอง ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะลงลายมือชื่อทำสัญญาในขณะที่ยังได้กรอกข้อความในเอกสารให้ครบถ้วน และแม้ในการขอกู้เงินจะกำหนดเวลาการผ่อนชำระหนี้ไว้เดือนละ 5,000 บาท ภายในกำหนดเวลา 5 ปี แต่ต่อมาเมื่อทำสัญญาเงินกู้กันโดยได้มีการกำหนดเวลาชำระหนี้ในสัญญาเงินกู้ว่าจะชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา 1 ปี ซึ่งจำแลยยินยอมลงลายมือชื่อโดยไม่โต้แย้งคัดค้านประการใด ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยสมัครใจยกเลิกกำหนดเวลาชำระหนี้ตามข้อตกลงเดิมและกำหนดชำระหนี้กันใหม่ตามที่ระบุในสัญญากู้เงินคือชำระภายในกำหนด 1 ปี จำเลยจึงมิได้ทำสัญญาเงินกู้โดยสำคัญผิดในเงื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้ หรือเพราะถูกโจทก์ใช้กลฉ้อฉลแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 705/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์คำสั่งศาลต้องวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำพิพากษาเดิม แม้จะอุทธรณ์เฉพาะคำสั่ง
แม้จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ โดยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ตาม แต่หากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอของจำเลย ก็ย่อมมีผลกระทบต่อคดีทั้งคดี เนื่องจาก ป.วิ.พ. มาตรา 199 เบญจ วรรคสาม ให้ถือว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นอันเพิกถอนไปในตัว ดังนั้น กรณีจึงอยู่ภายใต้บังคับของ ป.วิ.พ. มาตรา 229 ที่ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์คำสั่งคำร้องของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายบ้านสร้างเสร็จ: หน้าที่ของผู้ขายและการบอกเลิกสัญญาเมื่อผิดนัด
แม้สัญญาจะซื้อจะขายจะไม่มีข้อตกลงว่าจำเลยจะสร้างบ้านให้แล้วเสร็จเมื่อใดก็ตาม แต่เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน และโจทก์ได้ชำระเงินค่างวดให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยย่อมมีหน้าที่ปลูกสร้างบ้านและส่งมอบให้โจทก์ตามสัญญา ทั้งไม่ใช่ว่าจำเลยจะสร้างบ้านให้เสร็จเมื่อใดก็ได้แล้วแต่ความพอใจของจำเลย คดีนี้โจทก์ชำระเงินเฉพาะค่างวดให้จำเลยไปแล้ว 630,000 บาท โดยงวดหลังสุดชำระเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2539 แต่นับจากวันทำสัญญาคือวันที่ 15 มิถุนายน 2539 เป็นต้นมา กระทั่งโจทก์บอกเลิกสัญญา และจนถึงปัจจุบันจำเลยก็ยังไม่ได้ลงมือก่อสร้างบ้านให้โจทก์ โดยจำเลยไม่ได้ชี้แจงหรือโต้แย้งใดๆ พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวถือว่าจำเลยผิดสัญญาและจำเลยไม่มีเจตนาชำระหนี้ให้โจทก์ จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้โจทก์บอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยดำเนินการอีก ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัยต้องเป็นเหตุที่จำเลยไม่สามารถป้องกันได้ การเดินทางไปทำธุระแล้วรถเสียไม่ใช่เหตุสุดวิสัย
เหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 หมายความว่ามีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่สามารถป้องกันได้และทำให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่เมื่อทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบดีอยู่แล้วมีหน้าที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 18 มีนาคม 2547 ตามที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลา หากทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำอุทธรณ์เสร็จแล้วก็น่าจะดำเนินการยื่นอุทธรณ์หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นไปดำเนินการแทนให้เรียบร้อยเสียก่อนที่จะเดินทางไปทำกิจธุระที่ต่างจังหวัด การที่ทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ดำเนินการดังกล่าว แต่กลับเดินทางไปปฏิบัติภารกิจอื่นที่ต่างจังหวัดในวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์และกลับมายื่นอุทธรณ์ไม่ทันเนื่องจากรถยนต์ที่ใช้เดินทางเสีย จึงเป็นความผิดหรือความบกพร่องของทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 เอง กรณีถือไม่ได้ว่ามีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 684/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: การฟ้องคดีใหม่หลังศาลจำหน่ายคดีเนื่องจากขาดนัดพิจารณา ไม่ถือเป็นฟ้องซ้อนหากจำเลยไม่โต้แย้งทันเวลา
คดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความเนื่องจากโจทก์และจำเลยขาดนัดพิจารณา จึงไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเป็นคดีใหม่ภายในกำหนดอายุความ ดังนั้นแม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ขณะคดีก่อนยังอยู่ในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แต่เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนที่ให้จำหน่ายคดีจนคำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้ก่อนอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน และแม้ต่อมาจำเลยจะได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีและอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องในคดีก่อนก็ตามแต่เป็นการยื่นคำร้องเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วและยื่นคำร้องช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันที่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างว่าผิดระเบียบคำร้องคัดค้านเรื่องผิดระเบียบที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีจึงไม่ชอบ ไม่มีผลกระทบถึงคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีและถึงที่สุดไปแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ผู้อุทธรณ์วางค่าธรรมเนียม ศาลมีอำนาจสั่งให้แก้ไขก่อนส่งอุทธรณ์ ไม่ถือเป็นการไม่รับอุทธรณ์
การนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมอุทธรณ์นั้น ป.วิ.พ. มาตรา 229 บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ที่จะต้องนำเงินมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วย การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์โดยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ ซึ่งศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดระยะเวลาให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนเท่ากับศาลชั้นต้นเปิดโอกาสให้แก่จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลให้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่าจะให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะ คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้มิใช่เป็นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ซึ่งผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 ได้ จำเลยทั้งสองจึงยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 627/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งงดสืบพยานและการวางค่าธรรมเนียมตามมาตรา 229 ป.วิ.พ.
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยให้สืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อไป ซึ่งจะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์ถูกยกเลิกเพิกถอนไปได้ เท่ากับให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้สืบพยานต่อไป จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเกิดสัญญาบริการวิทยุคมนาคมจากการเปิดสัญญาณ แม้ไม่มีการบอกกล่าวสนองรับโดยตรง และเขตอำนาจศาล
สัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมเกิดขึ้นเมื่อสำนักงานใหญ่ของโจทก์สนองรับคำเสนออันได้แก่คำขอใช้บริการที่จำเลยได้ยื่นไว้ต่อสำนักงานสาขาหรือตัวแทนของโจทก์ด้วยการเปิดสัญญาณคลื่นวิทยุคมนาคมให้จำเลยใช้บริการที่อยู่ที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ การพิจารณาอนุมัติคำขอและเปิดสัญญาคลื่นวิทยุคมนาคมของสำนักงานใหญ่ของโจทก์นั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันใดอันหนึ่งซึ่งมีผลเป็นการแสดงเจตนาสนองรับคำเสนอของจำเลยตามคำขอที่ได้ยื่นขอใช้บริการ แม้จะเป็นการแสดงเจตนาต่อจำเลยซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า แต่ก็ถือได้ว่าตามปกติประเพณีการตกลงทำสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมกระทำกันในลักษณะนี้โดยไม่จำต้องมีคำบอกกล่าวสนองไปยังจำเลยผู้เสนอตาม ป.พ.พ. มาตรา 361 วรรคสองอีก เมื่อสัญญาการใช้บริการวิทยุคมนาคมได้เกิดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นและโจทก์ฟ้องขอบังคับชำระหนี้จากสัญญาดังกล่าว จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นเป็นศาลหนึ่งที่มูลคดีนี้เกิดขึ้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
of 59