พบผลลัพธ์ทั้งหมด 586 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 63/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กลฉ้อฉลในการซื้อขายอาคารเวนคืน สัญญาเป็นโมฆียะ
จำเลยลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์เสนอขายอาคาร 5 ชั้นพร้อมที่จอดรถใต้ดิน แต่ไปยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคาร 4 ชั้นต่อสำนักงานเขตประเวศ ต่อมาจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทกับโจทก์ระบุว่าอาคารพิพาทเป็นอาคาร 5 ชั้นพร้อมรายการประกอบแบบโดยทั่วไป ซึ่งผิดไปจากแบบที่จำเลยยื่นขออนุญาตไว้ การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการปิดบังมิให้โจทก์ทราบความจริงว่าจำเลยขออนุญาตก่อสร้างอาคารพิพาทไว้เพียง 4 ชั้น นอกจากนี้ จำเลยได้ทำบันทึกการขออนุญาตก่อสร้างอาคารพิพาทฯ รับทราบว่าอาคารพิพาทที่จำเลยยื่นขออนุญาตก่อสร้างอยู่ในบริเวณที่ดินที่จะสำรวจเพื่อเวนคืน แต่จำเลยยังมีความประสงค์จะก่อสร้างโดยจะไม่เรียกร้องหรือฟ้องร้องเอาเงินค่าทดแทนหรือค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนี้ ที่ดินและอาคารพิพาทมีราคาสูงถึง 15,000,000 บาท หากโจทก์ทราบหรือแม้แต่เพียงสงสัยว่าจะมีการเวนคืน โจทก์ย่อมจะไม่ยอมทำสัญญาจะซื้อขายกับจำเลยอย่างแน่นอน เพราะเงินค่าทดแทนที่จะได้รับจากการถูกเวนคืนนั้นไม่คุ้มกับจำนวนเงินที่จะต้องชำระให้แก่จำเลย การที่จำเลยปิดบังข้อเท็จจริงเรื่องการเวนคืนที่ดินและขออนุญาตก่อสร้างอาคารเพียง 4 ชั้นล้วนแต่เป็นกลฉ้อฉลของจำเลยซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่า หากจำเลยไม่ใช้กลฉ้อฉลดังกล่าว โจทก์ก็คงจะไม่แสดงเจตนาทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทกับจำเลย การแสดงเจตนาของโจทก์จึงตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 ประกอบด้วยมาตรา 162 เมื่อโจทก์บอกล้างโมฆียะกรรมดังกล่าวแล้วสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทย่อมตกเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาค่าเสียหายจากการเช่าซื้อผิดนัดและการวินิจฉัยเรื่องการคืนรถในชั้นบังคับคดี
แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุมาเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้าง แต่ตามคำบรรยายฟ้องและหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารฟ้องกล่าวว่า การที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดสัญญาต่อโจทก์ จนโจทก์บอกเลิกสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและขาดประโยชน์อันควรได้ในทางการค้าปกติคือ จำเลยที่ 1 ครอบครองใช้รถของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 6 ถึงวันบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน 76,643 บาท กับค่าใช้สอยรถยนต์ที่เช่าซื้อวันละ 400 บาท นับแต่วันที่โจทก์ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อถึงวันฟ้องเป็นเงิน 68,400 บาท และนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาจนครบถ้วนพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกร้องค่าเสียหายฐานใช้รถของโจทก์ ตลอดเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังครอบครองอยู่ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์และชำระค่าเสียหายรายเดือนนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนแต่ไม่เกินจำนวนเดือนที่ศาลกำหนดได้ ไม่เป็นการพิพากษา เกินคำขอและศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกนั้น หมายถึง คำขอของโจทก์ในส่วนที่มิได้กล่าวไว้ในคำพิพากษา ส่วนการคืนรถยนต์แก่โจทก์แล้วหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี
โจทก์กล่าวในคำแก้ฎีกาว่า ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญาแก่โจทก์ตามฟ้อง แต่โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องจึงเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์กล่าวในคำแก้ฎีกาว่า ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนเลิกสัญญาแก่โจทก์ตามฟ้อง แต่โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องจึงเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8884/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย แม้ไม่มีการทำหนังสือใหม่
การที่จำเลยได้จัดทำหนังสือภาษาจีนซึ่งมีคำแปลเป็นภาษาไทยอันมีเนื้อหาว่า "จำเลยจะชำระค่าเสียหายของสินค้าจำนวน 25,389 ชุด เป็นเงิน 116,789.40 ดอลลาร์สหรัฐ ผ่อนชำระเดือนเมษายน 2536 แล้วเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เดือนกันยายนชำระ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ เงินจำนวนที่เหลือจะแบ่งชำระในเดือนเมษายนและเดือนกันยายน 2537" เป็นการจัดทำเอกสารดังกล่าวขึ้นด้วยความสมัครใจ แม้จะไม่ปรากฏว่าได้มีการทำหนังสือกันใหม่อย่างเป็นทางการก็ตาม หนังสือภาษาจีนดังกล่าวก็เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่มีผลผูกพันใช้บังคับจำเลยได้ตามกฎหมาย
แม้คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นหยิบยกมาตรา 193/14 (1) แห่ง ป.พ.พ. ขึ้นวินิจฉัยก็เพื่อบ่งชี้ว่า การทำหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวมีผลผูกพันบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยส่งสินค้าไม่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าโจทก์ ต่อมาจำเลยยินยอมชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยการทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าหนังสือภาษาจีนดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้จึงเป็นการวินิจฉัยถึงที่มาแห่งมูลหนี้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงชอบที่จะวินิจฉัยว่าหนังสือภาษาจีนดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ได้
ที่โจทก์บรรยายในคำแก้ฎีกาว่าขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในจำนวนหนี้ที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์นั้น เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ซึ่งโจทก์ต้องทำเป็นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เมื่อโจทก์มิได้ยื่นเป็นฎีกาจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาที่จะวินิจฉัย
แม้คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นหยิบยกมาตรา 193/14 (1) แห่ง ป.พ.พ. ขึ้นวินิจฉัยก็เพื่อบ่งชี้ว่า การทำหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวมีผลผูกพันบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยส่งสินค้าไม่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าโจทก์ ต่อมาจำเลยยินยอมชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยการทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าหนังสือภาษาจีนดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้จึงเป็นการวินิจฉัยถึงที่มาแห่งมูลหนี้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงชอบที่จะวินิจฉัยว่าหนังสือภาษาจีนดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ได้
ที่โจทก์บรรยายในคำแก้ฎีกาว่าขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในจำนวนหนี้ที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์นั้น เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ซึ่งโจทก์ต้องทำเป็นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เมื่อโจทก์มิได้ยื่นเป็นฎีกาจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาที่จะวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7616/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำคุกรอการลงโทษและการเพิกถอนการรอการลงโทษเมื่อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขคุมประพฤติ คดีถึงที่สุดแล้ว
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 1 ปี แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยที่ 4 ไว้ 1 ปี ต่อมาจำเลยที่ 4 ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ลงโทษจำคุกที่รอไว้แก่จำเลยที่ 4 และศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงเป็นอันถึงที่สุด ตาม พ.ร.บ. วิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคสอง จำเลยที่ 4 จะฎีกาต่อมาไม่ได้ แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำสั่งศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็หาทำให้คดีของจำเลยที่ 4 ซึ่งถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ถึงที่สุดไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7380/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดวันสืบพยานก่อนครบกำหนดเวลายื่นคำให้การ ถือเป็นกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง แม้โจทก์จะเข้าใจผิดเรื่องวันนัด
++ เรื่อง ประกันภัย ละเมิด รับช่วงสิทธิ (ชั้นขอให้พิจารณาใหม่) ++
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (10) "วันสืบพยาน" หมายความว่าวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยาน
โจทก์ยื่นคำฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันให้รับฟ้องและนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 21 กรกฎาคม 2541 เวลา 9 นาฬิกา เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยได้โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน2541 จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การได้ภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 ฉะนั้นวันที่ 21 กรกฎาคม 2541 ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดเป็นวันสืบพยานโจทก์นัดแรกนั้นแม้โจทก์และพยานโจทก์จะมาศาลก็ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ได้เพราะยังไม่พ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้เลื่อนคดีเพื่อรอดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว หรือเมื่อครบกำหนดเวลายื่นคำให้การหากจำเลยไม่ยื่นคำให้การ วันที่ 21 กรกฎาคม2541 จึงมิใช่ "วันสืบพยาน" ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้ไปศาลในวันดังกล่าวโดยเข้าใจว่าวันนัดคลาดเคลื่อนไปเพราะความผิดพลาดของโจทก์ แต่ก็เป็นคนละเหตุที่จะให้ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยเห็นว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 จึงถูกต้องแล้ว
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (10) "วันสืบพยาน" หมายความว่าวันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยาน
โจทก์ยื่นคำฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันให้รับฟ้องและนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 21 กรกฎาคม 2541 เวลา 9 นาฬิกา เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยได้โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน2541 จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำให้การได้ภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 ฉะนั้นวันที่ 21 กรกฎาคม 2541 ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดเป็นวันสืบพยานโจทก์นัดแรกนั้นแม้โจทก์และพยานโจทก์จะมาศาลก็ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ได้เพราะยังไม่พ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้เลื่อนคดีเพื่อรอดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว หรือเมื่อครบกำหนดเวลายื่นคำให้การหากจำเลยไม่ยื่นคำให้การ วันที่ 21 กรกฎาคม2541 จึงมิใช่ "วันสืบพยาน" ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้ไปศาลในวันดังกล่าวโดยเข้าใจว่าวันนัดคลาดเคลื่อนไปเพราะความผิดพลาดของโจทก์ แต่ก็เป็นคนละเหตุที่จะให้ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยเห็นว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 จึงถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7198/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ต้องยื่นภายในกำหนดตามกฎหมาย มิฉะนั้นศาลมีอำนาจไม่รับคำคู่ความ
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ ต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 และมาตรา 23 จึงต้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เสียภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้รับเป็นอุทธรณ์เพิ่มเติม ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบมาตรา 23 คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.เกี่ยวกับการยื่นคำคู่ความ ซึ่งมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามมาตรา 246 ประกอบมาตรา 142 (5)
จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้รับเป็นอุทธรณ์เพิ่มเติม ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบมาตรา 23 คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.เกี่ยวกับการยื่นคำคู่ความ ซึ่งมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามมาตรา 246 ประกอบมาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7198/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ต้องยื่นภายในกำหนด หากพ้นกำหนดคำสั่งศาลที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายอาจถูกเพิกถอนได้
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ ต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 และมาตรา 23จึงต้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เสียภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้รับเป็นอุทธรณ์เพิ่มเติม ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบมาตรา 23 คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวกับการยื่นคำคู่ความ ซึ่งมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามมาตรา 246ประกอบมาตรา 142(5)
จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้รับเป็นอุทธรณ์เพิ่มเติม ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบมาตรา 23 คำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวกับการยื่นคำคู่ความ ซึ่งมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามมาตรา 246ประกอบมาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7186/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรู้เห็นเป็นใจในสัญญาเช่าซื้อและการขอคืนรถยนต์ที่ถูกยึด ศาลฎีกาตัดสินว่าผู้ให้เช่าซื้อไม่มีสิทธิขอคืน
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อทราบว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิดต่อกฎหมายจนถูกจับกุม และถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลาง แต่ยังคงทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้เช่าซื้อดำเนินการขอรับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางคืนจากพนักงานสอบสวน โดยมิได้บอกเลิกสัญญาแก่ผู้เช่าซื้อรวมทั้งยังคงรับชำระค่าเช่าซื้อภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางแล้ว ตามพฤติการณ์ดังกล่าวของผู้ร้องย่อมเห็นได้ว่าการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางน่าจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์แก่ผู้เช่าซื้อที่จะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อต่อไปและได้รับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางไปจากผู้ร้องในภายหลัง ซึ่งมีลักษณะเป็นการร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยลูกจ้างผู้เช่าซื้อ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7175/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการแต่งทนายความ ทำให้ฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำฟ้องฎีกาของจำเลยมี ส.ทนายความ เป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ฎีกา ผู้เรียงและผู้พิมพ์ โดย ส.มิได้ยื่นใบแต่งทนายความไว้ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยโดยมิได้มีคำสั่งให้ ส.ยื่นใบแต่งทนายความเข้ามาให้ถูกต้องเสียก่อนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 232 และมาตรา 18 กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา เมื่อปรากฏว่าจำเลยทิ้งฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174จึงเป็นการล่วงเลยเวลา ที่ศาลฎีกาจะสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาดังกล่าว ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7175/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากทนายความมิได้ยื่นใบแต่งทนายความ และจำเลยทิ้งฎีกา ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำฟ้องฎีกาของจำเลยมี ส. ทนายความ เป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ฎีกา ผู้เรียงและผู้พิมพ์ โดย ส. มิได้ยื่นใบแต่งทนายความไว้แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยโดยมิได้มีคำสั่งให้ ส. ยื่นใบแต่งทนายความเข้ามาให้ถูกต้องเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 และมาตรา 18กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา เมื่อปรากฏว่าจำเลยทิ้งฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 จึงเป็นการล่วงเลยเวลา ที่ศาลฎีกาจะสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาดังกล่าว ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้