พบผลลัพธ์ทั้งหมด 733 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจผู้จัดการกิจการโรงเรียนเมื่อจำเลยไม่อยู่ การดำเนินการเกินอำนาจที่ศาลแต่งตั้ง
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอจัดการกิจการโรงเรียนเทคโนโลยีฉะเชิงเทราแทนจำเลยผู้ไม่อยู่ชั่วคราวจนกว่าจำเลยจะกลับมา และผู้ร้องได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการกิจการของโรงเรียนดังกล่าว ผู้ร้องย่อมมีอำนาจจัดการแต่เฉพาะในกิจการของโรงเรียนเทคโนโลยีฉะเชิงเทรา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 48 วรรคหนึ่งหาใช่กรณีที่ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของจำเลยผู้ไม่อยู่ตามมาตรา 48 วรรคสองอันจะทำให้ผู้ร้องมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับตัวแทนผู้รับมอบอำนาจทั่วไปไม่ แม้ในเหตุฉุกเฉินผู้ร้องก็ไม่อาจจะก้าวล่วงไปจัดการในกิจการอื่นของจำเลยได้ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีระยองเฉลิมพระเกียรติแทนจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1047/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ผลคดี, ค่าขึ้นศาล: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นก่อนได้ หากมีผลให้คดีเสร็จสิ้น ไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น และค่าขึ้นศาลต้องเป็นไปตามทุนทรัพย์
การวินิจฉัยคดี เมื่อศาลชั้นต้นเห็นสมควรที่จะหยิบยกประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งข้อใดขึ้นวินิจฉัยก่อน ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจกระทำเช่นนั้นได้ และเมื่อได้วินิจฉัยประเด็นข้อใดแล้วมีผลให้คดีเสร็จไปแล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามที่จำเลยให้การต่อสู้ย่อมเท่ากับคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบเนื่องจากเสนอเข้ามาโดยบุคคลที่ไม่มีอำนาจประเด็นต่าง ๆ ตามคำฟ้องที่ไม่ชอบย่อมเป็นอันตกไปทั้งสิ้น ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้อีก
จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกามาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะประเด็นตามอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดี จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เพียงชั้นศาลละ 200 บาทเท่านั้น
จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกามาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะประเด็นตามอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดี จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เพียงชั้นศาลละ 200 บาทเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1047/2546 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, การวินิจฉัยประเด็น, ค่าขึ้นศาล: ศาลฎีกาชี้ว่าเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีเสร็จสิ้น ไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น และค่าขึ้นศาลต้องเป็นไปตามประเภทคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยไม่วินิจฉัยประเด็นขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยอุทธรณ์และฎีกาขอให้วินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นด้วย โดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นอันเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะประเด็นตามอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดี จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ชั้นศาลละ 200 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1047/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและผลกระทบต่อค่าขึ้นศาล: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นก่อนได้ หากวินิจฉัยแล้วมีผลคดีสิ้นสุด ไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น
เมื่อศาลชั้นต้นเห็นสมควรที่จะหยิบยกประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งข้อใดขึ้นวินิจฉัยก่อน ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจกระทำเช่นนั้นได้ และได้วินิจฉัยประเด็นข้อใดแล้วมีผลให้คดีเสร็จไปแล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นอีกเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงคดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามที่จำเลยให้การต่อสู้และประเด็นข้อนี้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์เท่ากับคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบเนื่องจากเสนอเข้ามาโดยบุคคลที่ไม่มีอำนาจ ประเด็นต่าง ๆ ตามคำฟ้องที่ไม่ชอบย่อมเป็นอันตกไปทั้งสิ้นไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้อีก
จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกามาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นอันเป็นการไม่ถูกต้องเพราะประเด็นตามอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดีจำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เพียงชั้นละ 200 บาท เท่านั้น
จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกามาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นอันเป็นการไม่ถูกต้องเพราะประเด็นตามอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดีจำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เพียงชั้นละ 200 บาท เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 953/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การพิสูจน์วันทำละเมิดและผลของการไม่ฟ้องภายใน 10 ปี
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ใช้ใบเบิกปลอมเป็นหลักฐานในการลงบัญชีจ่ายสายสูบน้ำดับเพลิงทำให้สายสูบน้ำดับเพลิงของกรมตำรวจโจทก์สูญหายและขาดบัญชีไป เป็นฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้ละเมิด และมูลหนี้ละเมิดนั้นเป็นความผิดที่มีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา แต่ใบเบิกเป็นเพียงเอกสารราชการ มิใช่เอกสารสิทธิโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบ มาตรา 265 คือ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี ซึ่งมีกำหนดอายุความทางอาญาเพียง 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95(3) มิใช่ 20 ปี จึงไม่เป็นกรณีที่กำหนดอายุความอาญายาวกว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง
เหตุละเมิดเกิดจากสายสูบน้ำดับเพลิงของโจทก์สูญหายไปหากไม่สูญหายย่อมไม่มีเหตุละเมิดต่อโจทก์ที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องร้อง ดังนั้น วันทำละเมิดย่อมหมายถึงวันที่ทรัพย์สูญหาย มิใช่วันที่มีการทำใบเบิกปลอมหรือวันที่ตรวจพบว่ามีการสูญหาย เพราะอาจมีการสูญหายก่อนหน้านั้นนานเพียงใดก็ได้
การที่สายสูบน้ำดับเพลิง 736 เส้น ของกรมตำรวจโจทก์ไปอยู่ที่สถานีตำรวจดับเพลิงต่าง ๆ ต้องถือว่าสายสูบน้ำดับเพลิงจำนวนนี้มิได้สูญหาย เนื่องจากสถานีตำรวจดับเพลิงเหล่านั้นคือหน่วยงานในสังกัดของโจทก์เท่ากับว่าสายสูบน้ำดับเพลิงยังอยู่ในความครอบครองของโจทก์นั่นเอง
เหตุละเมิดเกิดจากสายสูบน้ำดับเพลิงของโจทก์สูญหายไปหากไม่สูญหายย่อมไม่มีเหตุละเมิดต่อโจทก์ที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องร้อง ดังนั้น วันทำละเมิดย่อมหมายถึงวันที่ทรัพย์สูญหาย มิใช่วันที่มีการทำใบเบิกปลอมหรือวันที่ตรวจพบว่ามีการสูญหาย เพราะอาจมีการสูญหายก่อนหน้านั้นนานเพียงใดก็ได้
การที่สายสูบน้ำดับเพลิง 736 เส้น ของกรมตำรวจโจทก์ไปอยู่ที่สถานีตำรวจดับเพลิงต่าง ๆ ต้องถือว่าสายสูบน้ำดับเพลิงจำนวนนี้มิได้สูญหาย เนื่องจากสถานีตำรวจดับเพลิงเหล่านั้นคือหน่วยงานในสังกัดของโจทก์เท่ากับว่าสายสูบน้ำดับเพลิงยังอยู่ในความครอบครองของโจทก์นั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบโจทก์คดีอาญา: การพิสูจน์การครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อให้ศาลรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา คดีนี้แม้จะฟังได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายก็ตาม แต่โจทก์ต้องนำสืบให้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและไม่มีใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะด้วย เมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดจำเลยมิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้มีและใช้และพาติดตัวได้ตามกฎหมายทั้งมิได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะได้เลย และกรณีก็ไม่อาจฟังว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ได้ตามกฎหมายด้วย เพราะในชั้นพิจารณาโจทก์มิได้นำสืบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายละเอียดของอาวุธปืนที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด และก็ไม่ปรากฏในชั้นสอบสวนว่าจำเลยให้การปฏิเสธเกี่ยวกับข้อหาอาวุธปืนดังกล่าวอย่างไรจึงไม่มีข้อเท็จจริงให้รับฟังว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้และพาติดตัวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจพิเศษในการคัดค้านการบังคับคดี ต้องไม่ใช่ลูกหนี้หรือบริวารของลูกหนี้
ผู้ที่จะยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 จัตวา (3) ได้ต้องเป็นบุคคลที่ไม่ใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งถูกบังคับคดีให้ขับไล่จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาล แม้จะอ้างว่ายื่นเข้ามาในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ อ. สามีซึ่งถึงแก่กรรมที่ได้ร่วมกันครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาท ส่วนผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรของผู้ร้องที่ 1 จึงเป็นบริวารลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจพิเศษในการคัดค้านการบังคับคดี: ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและบริวารไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง
ผู้ที่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 จัตวา(3) ต้องเป็นบุคคลที่ไม่ใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ผู้ร้องที่ 1 เป็นจำเลยและลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งถูกบังคับคดีให้ขับไล่และต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลแม้จะอ้างว่ายื่นเข้ามาในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ อ. สามีซึ่งถึงแก่กรรมที่ได้ร่วมกันครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาท แต่เมื่อผู้ร้องที่ 1 เป็นจำเลยในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่และมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่ ผู้ร้องที่ 1 จึงเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ส่วนผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรของจำเลย (คนเดียวกับผู้ร้องที่ 1) จึงเป็นบริวารของจำเลย กรณีไม่อาจอ้างฐานะอื่นเพื่อแสดงอำนาจพิเศษให้หลุดพ้นจากการถูกบังคับคดีตามคำพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองร่วมและสิทธิในการคุ้มครองส่วนแบ่งที่ดิน: ผู้รับจำนองมีสิทธิยึดขายทอดตลาดที่ดินแปลงรวมทั้งหมดเมื่อลูกหนี้ผิดนัด
ผู้ร้องกับจำเลยร่วมกันซื้อที่ดิน 2 แปลง โดยตกลงแบ่งการครอบครองเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจำเลยได้ส่วนแบ่งทางด้านทิศตะวันตก ส่วนผู้ร้องได้ส่วนแบ่งด้านทิศตะวันออกคนละครึ่ง อันเป็นข้อตกลงภายในระหว่างกันเองว่ามีการแบ่งแยกการครอบครองอย่างไรเท่านั้น หาได้มีการแบ่งแยกกันครอบครองอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนไม่ เมื่อจำเลยนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองต่อโจทก์ ผู้ร้องก็ทราบและให้ความยินยอมเป็นหนังสือ ทั้งเมื่อมีการจดทะเบียนจำนองนอกจากผู้ร้องจะไม่ให้ปากคำใด ๆ แล้ว ยังไม่ส่งมอบเอกสารการแบ่งแยกการครอบครองที่ผู้ร้องกับจำเลยทำต่อกันแก่เจ้าพนักงานที่ดินเพื่อทราบ ซึ่งนับว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของผู้ร้องอย่างมาก ฉะนั้น การที่จะให้โจทก์เรียกเอกสารประกอบอื่นใดที่อาจมาบั่นทอนกรรมสิทธิ์ของหลักประกันนั้นย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่โจทก์พึงกระทำ เว้นแต่ผู้ร้องจะเสาะหามาแสดงเอง กรณีต้องถือว่าผู้ร้องและจำเลยได้ร่วมกันครอบครองที่ดินทุกส่วนทั้งสองแปลงอันโจทก์มีสิทธิยึดเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้กันส่วนของตนในที่ดินทั้งสองแปลงออกก่อนขายทอดตลาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการฟ้องคดีใหม่หลังศาลชั้นต้นยกคำขอไม่สมฟ้อง และการไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์
ประเด็นที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ทั้งสองนำสืบไม่สมฟ้อง ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกคำขอส่วนนี้เสียทั้งหมด เพราะสามารถที่จะวินิจฉัยในคดีนี้ได้อยู่แล้ว การที่ศาลชั้นต้นให้สิทธิแก่โจทก์ทั้งสองฟ้องใหม่ในประเด็นนี้อีกจึงเป็นการไม่ชอบ ซึ่งโจทก์ทั้งสองชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาในส่วนนี้ เมื่อโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ แต่เลือกที่จะฟ้องใหม่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ให้สิทธิในการฟ้องคดีใหม่ โจทก์ทั้งสองจะขอให้ศาลฎีกากลับให้สิทธิดังกล่าวซึ่งเป็นการไม่ชอบแก่โจทก์ทั้งสองหาได้ไม่