คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 733 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6273/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องทายาท: จำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิ หรือกระทำการละเมิดสิทธิของทายาท จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ตามคำฟ้องคงได้ความเพียงว่าจำเลยลงชื่อตนเองไว้ในโฉนดที่ดินอันเป็นมรดกของ อ. ในฐานะผู้จัดการมรดกของ อ. เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำการอย่างใดให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของโจทก์ในฐานะทายาทของ อ. ทั้งไม่ปรากฏด้วยว่าจำเลยปฏิเสธสิทธิดังกล่าวของโจทก์ การที่ผู้มีส่วนได้เสียในมรดกของ อ. ตกลงกันให้ขายที่ดินพิพาทแล้วนำเงินไปใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆเงินส่วนที่เหลือให้นำมาแบ่งกันตามสำเนาบันทึกการประชุมนั้น ก็ยังไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่ยอมดำเนินการหรือดำเนินการโดยมิชอบแต่อย่างใด ที่โจทก์ขอให้ใส่ชื่อโจทก์ไว้ในโฉนดที่ดินในฐานะเจ้าของรวมเฉพาะส่วนเพียงเพื่อจะได้รับทราบเมื่อมีการขายที่ดินก็ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ทำเช่นนั้นได้ ทั้งยังอาจจะขัดต่อข้อตกลงตามสำเนาบันทึกการประชุมอีกด้วย การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวในคำฟ้องยังไม่ได้กระทบกระทั่งถึงสิทธิของโจทก์ ถือไม่ได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6242/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม - โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีต่อกระทง - ศาลไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี เพิ่มโทษจำคุกกึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 15 ปีเมื่อลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งแล้วคงให้จำคุก 7 ปี 6 เดือน กับให้บวกโทษของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จึงมีผลเท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายยาเสพติดยังไม่สำเร็จเป็นความผิดพยายามจำหน่าย แม้มีการชำระเงินแล้ว
จำเลยทั้งสองตกลงจะขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด ให้แก่ ส. ในราคา 150 บาท และรับเงินค่า เมทแอมเฟตามีนจาก ส. ไว้แล้ว แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 กำลังใช้ไขควงคลายน็อตยึดฝาครอบไฟท้ายรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่ในหลอดกาแฟจำนวน 20 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ เพื่อจะนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด ออกมามอบให้แก่ ส. ก็ถูกสิบตำรวจโท จ. กับพวกจับกุมเสียก่อน โดยขณะนั้นจำเลยทั้งสองยังมิได้แยกเมทแอมเฟตา-มีนจำนวน 1 เม็ด ออกจากหลอดกาแฟมาส่งมอบให้แก่ ส. การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยกับ ส. จึงยัง ไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 เม็ด เท่านั้น และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาได้ด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายยาเสพติดยังไม่สำเร็จ ถือเป็นความผิดพยายามจำหน่าย
ขณะที่จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยเพียงแต่ได้รับเงินค่าเมทแอมเฟตามีนจาก ส. และกำลังใช้ไขควงไขน็อตยึดฝาครอบไฟท้ายรถจักรยานยนต์เพื่อจะนำเมทแอมเฟตามีน1 เม็ด จากจำนวน 20 เม็ด ซึ่งบรรจุอยู่ในหลอดกาแฟซุกซ่อนอยู่ในฝาครอบไฟท้ายออกมาส่งมอบให้แก่ ส. จำเลยยังมิได้แยกเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ออกจากหลอดกาแฟมาส่งมอบให้แก่ ส. การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยกับ ส. ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์จึงเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5876/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ต้องลดโทษรายกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษ ไม่ใช่ลดโทษรวมทั้งหมด
ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี และลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน แทนที่จะลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษจำคุกที่ลดแล้ว แต่ละกระทงเข้าด้วยกันนั้นไม่ถูกต้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายทีเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 คงจำคุกจำเลย 18 เดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5876/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนคำให้การรับสารภาพในคดีอาญาต้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตาม ศาลมีสิทธิไม่รับฟัง
แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะบัญญัติรับรองสิทธิพื้นฐานของบุคคลผู้ตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาไว้หลายประการกล่าวคือให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งให้สิทธิแก่จำเลยที่จะให้การต่อศาลหรือไม่ให้การก็ได้ แต่ในกรณีที่จำเลยให้การต่อศาลแล้วหากประสงค์จะขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การนั้น จำเลยจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 163 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งนี้ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ โดยพิจารณาถึงเหตุผลที่จำเลยอ้างว่าเป็นเหตุผลอันสมควรหรือไม่
จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นได้บันทึกคำให้การของจำเลยไว้ และได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาหลายครั้ง เพื่อให้โอกาสจำเลยบรรเทาผลร้ายโดยชดใช้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์ แต่จำเลยกลับผัดผ่อนตลอดมา จนในที่สุดจำเลยได้ยื่นคำให้การขอให้การใหม่เป็นปฏิเสธฟ้อง โดยมิได้ยื่นคำร้องขอแก้คำให้การ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสองดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยแก้คำให้การ จึงต้องถือว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ เมื่อข้อหาตามฟ้อง ไม่ใช่คดีที่มีข้อหาในความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป ซึ่งต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตามมาตรา 176 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5849/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดขับรถประมาทและไม่ให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเป็นคนละกรรม ศาลแก้ไขโทษปรับบท
ความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายกับความผิดฐานก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่ให้ความช่วยเหลือ มีลักษณะการกระทำที่แตกต่างกันและความผิดฐานหลังเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลังจากที่กระทำความผิดฐานแรกสำเร็จไปแล้วจึงเป็นความผิดสองกรรม
จำเลยกระทำความผิดฐานใช้ทางเดินรถที่จัดแบ่งเป็นช่องไม่ถูกต้อง และฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 34,43(8),151,160 วรรคสาม เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 34 อันเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทมาตรา 33 อันเป็นบททั่วไปซึ่งเป็นความผิดกรณีใช้ทางเดินรถทั่วไปที่มิได้จัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่สองช่องขึ้นไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5349/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาเรื่องการรับวินิจฉัยอุทธรณ์คดีเกี่ยวกับยาเสพติดและการลักลอบเข้าออกประเทศ โดยจำกัดการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
สำหรับความผิดฐานเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคสอง ซึ่งมีระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยในความผิดดังกล่าวกระทงละ 1,000 บาท นั้น เป็นความผิดที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ ที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้ยกฟ้องโจทก์ โดยโต้เถียงดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยาน หลักฐานในสำนวนว่า จำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนี้ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีความผิดสองฐานนี้รวมอยู่ด้วย ในตัว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทุกฐานความผิดตามฟ้อง โดยฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องและพิพากษายืนมา เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยความผิดสองฐานนี้รวมกันมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ ที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยโต้เถียงดุลพินิจของ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนข้อที่ว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนี้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีความผิดสองฐานนี้รวมอยู่ด้วยในตัวเช่นเดียวกับอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิด สองฐานนี้ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และการกระทำของจำเลย ดังกล่าว ย่อมฟังได้ต่อไปว่าจำเลยได้มีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนเดียวกันนั้นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินกว่า 20 กรัม จึงต้องถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติไว้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อีกบทหนึ่ง เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามา ในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90
ความผิดซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้ยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายืนโดย มิชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 และยกอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5265/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ระบุประเด็นอายุความ ทำให้ไม่อาจอุทธรณ์ได้ ศาลฎีกาส่งสำนวนคืน
คดีนี้เนื้อหาของคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงมีเพียงคำบังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยและ ค่าฤชาธรรมเนียมเท่านั้น หาได้กล่าวถึงปัญหาเรื่องอายุความอันเป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยไม่ แม้ศาลชั้นต้นจะมีอำนาจพิพากษาคดีได้ด้วยวาจาซึ่งไม่จำต้องจดแจ้งรายการแห่งคดีหรือเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยไว้ก็ตาม แต่ก็ต้องมีคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 141 (5) ด้วย มิฉะนั้นคู่ความย่อมไม่อาจอุทธรณ์ได้โดยชัดแจ้งเนื่องจากไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีอย่างไร เมื่อปรากฏเหตุที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง จึงต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247 และยังรับวินิจฉัยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรง ต่อศาลฎีกาของจำเลยที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5265/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลในการวินิจฉัยประเด็นข้อต่อสู้เรื่องอายุความ แม้คดีมีอำนาจพิจารณาด้วยวาจา
เนื้อหาของคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีเพียงคำบังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์เท่านั้น มิได้กล่าวถึงปัญหาเรื่องอายุความอันเป็นประเด็นแห่งคดีซึ่งเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยแม้จะเป็นคดีมโนสาเร่ที่ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิพากษาคดีได้ด้วยวาจาซึ่งไม่จำต้องจดแจ้งรายการแห่งคดีหรือเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยไว้ แต่ก็ต้องมีคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีเรื่องอายุความนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 141(5) คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบ
of 74