คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พิชิต คำแฝง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 758 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนใจทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้ลงนามในสัญญากู้เงิน ถือเป็นกรรโชกและทำร้ายร่างกาย
จำเลยที่ 1 ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรือ อย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่ จำเลยที่ 1 กระชากคอเสื้อผู้เสียหายอยู่ และต่อมาจำเลยที่ 1 ต่อยที่ บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออก และพูดกับผู้เสียหาย ว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน มิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และร่วมกัน ข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้ จึงเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินจากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ 2 อันเป็นการได้ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแล้วจึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชก และทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การข่มขืนใจทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้ลงลายมือชื่อสัญญา และการกรรโชกทรัพย์
จำเลยที่ 1 ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2 พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรืออย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่จำเลยที่ 1 กระชากคอเสื้อผู้เสียหายอยู่และต่อมาจำเลยที่ 1 ต่อยที่บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออกและพูดกับผู้เสียหายว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน มิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้จึงเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินจากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ 2 อันเป็นการได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชกและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรโชกทรัพย์และทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้ลงนามในสัญญากู้เงิน ถือเป็นตัวการร่วมกัน
จำเลยที่ 1 ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรืออย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่จำเลยที่ 1กระชากคอเสื้อผู้เสียหายอยู่และต่อมาจำเลยที่ 1 ต่อยที่บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออกและพูดกับผู้เสียหายว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน มิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้จึงเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินจากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ 2 อันเป็นการได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินจึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชกและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2603/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าจ้างทำของ: เริ่มนับแต่วันรับมอบงาน มิใช่วันปฏิเสธการเบิกจ่าย
โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด โจทก์ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมีวัตถุประสงค์หลายอย่างรวมทั้งรับเหมาประมูลงานก่อสร้างและงานด้านวิศวกรรมโยธาทุกชนิด โจทก์ทั้งสองจึงเป็นผู้ประกอบการค้า สิทธิเรียกร้องเอาค่าของที่ได้ส่งมอบหรือค่าการงานที่ได้ทำจึงมีอายุความ 2 ปี และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป และมาตรา 602 กำหนดให้สินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำโจทก์ทั้งสองจึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างได้นับแต่วันที่ได้ทำงานแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างและได้ส่งมอบงานแล้ว ถือเป็นวันเริ่มต้นนับอายุความ มิใช่ถือเอาวันที่ผู้ว่าจ้างปฏิเสธไม่อนุมัติการเบิกจ่ายเงินให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นวันเริ่มต้นนับอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2442/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายยาเสพติดเป็นคนละกรรม
ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ได้บัญญัติคำว่า จำหน่าย หมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ เท่านั้น หาได้บัญญัติให้มีความหมายรวมถึงการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยก็มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกระทงหนึ่ง และเมื่อจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ จำเลยก็มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอีกกระทงหนึ่ง การกระทำของจำเลยมิได้เป็นความผิดกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1897/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมรดก: ศาลไม่ผูกพันตามคำวินิจฉัยเดิม หากประเด็นกรรมสิทธิ์ไม่ได้ถูกวินิจฉัยโดยตรง
ในคดีก่อนซึ่งโจทก์ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและจำเลยที่ 1ร้องคัดค้านนั้น มีประเด็นพิพาทกันเพียงว่า มีความจำเป็นต้องตั้งผู้จัดการมรดกและโจทก์สมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ส่วนทรัพย์มรดกของ อ. มีอะไรบ้าง เพียงใด ไม่ได้เป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีโดยตรง แม้ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดว่าทรัพย์พิพาทตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องซึ่งรวมทั้งทรัพย์พิพาทในคดีนี้ได้มาระหว่างที่ อ. เป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสินสมรสตามกฎหมาย ก็ถือไม่ได้ว่าศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์พิพาทว่าเป็นสินสมรสระหว่าง อ. กับจำเลยที่ 1 อันจะต้องผูกพันจำเลยที่ 1 ในคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1897/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยกรรมสิทธิ์สินสมรส: ศาลไม่ผูกพันตามคำวินิจฉัยในคดีอื่น
ในคดีก่อนซึ่งโจทก์ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและจำเลยที่ 1ร้องคัดค้านนั้น มีประเด็นพิพาทกันเพียงว่า มีความจำเป็นต้องตั้งผู้จัดการมรดกและโจทก์สมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ส่วนทรัพย์มรดกของ อ.มีอะไรบ้าง เพียงใดไม่ได้เป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีโดยตรง แม้ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดว่าทรัพย์พิพาทตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องซึ่งรวมทั้งทรัพย์พิพาทในคดีนี้ได้มาระหว่างที่อ.เป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสินสมรสตามกฎหมาย ก็ถือไม่ได้ว่าศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์พิพาทว่าเป็นสินสมรสระหว่าง อ.กับจำเลยที่ 1อันจะต้องผูกพันจำเลยที่ 1 ในคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การวิจารณ์พฤติกรรมผู้นำสหกรณ์และการเชื่อมโยงกับข้อกล่าวหาทุจริต
จำเลยที่ 2 ได้เขียนบทความเกี่ยวกับโจทก์ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ก.เปรียบเทียบโจทก์กับบุคคลอีกคนหนึ่งว่ามีจิตวิญญาณของครูโดยแท้ ส่วนโจทก์น่าจะเรียกว่าผู้รับจ้างสอนมากกว่า เพราะมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับบุคคลดังกล่าวราวฟ้ากับดินและข้อความที่ว่า อย่าไปบ้าจี้กับผู้นี้ (โจทก์) มากนักเพราะแทนที่จะส่งเสริมให้สหกรณ์เจริญก้าวหน้ากลับจะเป็นการฉุดรั้งความก้าวหน้ากับข้อความว่า โจทก์สมัครเข้าเป็นสมาชิกร้านสหกรณ์ พ. อีกแห่งหนึ่ง หลังเข้ามากวนน้ำให้ขุ่นอย่างมีวัตถุประสงค์อะไรน่าระอาเต็มทนกับพฤติกรรมของคนประเภทนี้เป็นการเปรียบเทียบและมีความหมายให้ผู้อื่นที่ได้อ่าน ได้ยินหรือได้ฟังเกิดความรู้สึกและเข้าใจต่อตัวโจทก์ว่ามีพฤติกรรมไปในทางไม่ดี ไม่เหมาะสมที่จะเป็นครูน่าจะเรียกว่าผู้รับจ้างสอนและเป็นผู้ทำลายวงการสหกรณ์ น่าระอากับพฤติกรรมของโจทก์แม้ข้อความบางตอนเป็นการชี้แจงตอบโต้ถึงเรื่องที่โจทก์กล่าวหาอันพอจะถือได้ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม แต่การที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นการตอบโต้ถึงเรื่องที่โจทก์มักจะกล่าวโจมตีผู้อื่นและร้องเรียนผู้อื่นต่อนายทะเบียนสหกรณ์ซึ่งไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นเรื่องของผู้ที่ถูกร้องเรียนกล่าวหาจะแสดงความคิดเห็นหรือข้อความเพื่อป้องกันส่วนได้เสียของตนเอง แม้บทความของจำเลยที่ 2 จะชี้แจงถึงระบบสหกรณ์อยู่ด้วย แต่เมื่ออ่านประกอบกันแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1565/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องบังคับภารจำยอมแม้ขายที่ดินส่วนที่เหลือไปแล้ว สัญญาเป็นหลักสิทธิ
ปัญหาว่าโจทก์ที่ 4 และที่ 5 ซึ่งขายที่ดินส่วนที่เหลือจากที่ขายให้จำเลย (ซึ่งเป็นสามยทรัพย์) ให้บุคคลอื่นไปแล้วจะมีสิทธิฟ้องจำเลยบังคับเรื่องภารจำยอมได้หรือไม่ เป็นปัญหาอำนาจฟ้อง แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลจึงวินิจฉัยให้ เมื่อได้ความว่าโจทก์ที่ 4 และที่ 5 เป็นคู่สัญญากับจำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายและบันทึก ซึ่งกำหนดให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่ที่ดินของโจทก์ที่ 4 และที่ 5 โจทก์ที่ 4 และที่ 5 จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเพื่อบังคับสิทธิตามสัญญาและบันทึกดังกล่าวได้
จำเลยทำสัญญาจะซื้อที่ดินจากโจทก์ทั้งห้า โดยมีข้อตกลงว่าจะจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งห้าในส่วนที่เหลือจากการขาย ต่อมาจำเลยจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแต่ยังไม่จดทะเบียนภารจำยอม แต่ได้ทำหนังสือยืนยันว่าจะจดทะเบียนภารจำยอมให้โจทก์ทั้งห้าภายหลัง จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ที่ดินของจำเลยจึงตกอยู่ในภารจำยอมของที่ดินโจทก์ทั้งห้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตกลงจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งทางอากาศ: 'NVD' แสดงเจตนา
ขั้นตอนการส่งสินค้าทางอากาศ ผู้ส่งสินค้าต้องจองพื้นที่บนเครื่องบินก่อน และจำเลยจะมอบแบบพิมพ์ใบตราส่งให้ผู้ส่งของกรอกข้อความใบตราส่งนี้ยังมีข้อความปรากฏชัดในด้านหน้าว่า ตามเงื่อนไขแห่งสัญญาที่อยู่ด้านหลังนี้ขอให้ผู้ส่งของรับทราบข้อสังเกตเกี่ยวกับการจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งด้วย ผู้ส่งของอาจเพิ่มส่วนจำกัดความรับผิดได้โดยแจ้งมูลค่าสินค้าให้สูงขึ้น และชำระเงินเพิ่มเติมหากจำเป็น ข้อความดังกล่าวย่อมทำให้ผู้ส่งของทราบดีว่าตนมีทางเลือก 2 ทาง คือจะยอมรับข้อจำกัดความรับผิดที่มีอยู่ชัดในด้านหลังใบตราส่งหรือจะเพิ่มส่วนจำกัดความรับผิดโดยต้องเสียเงินเพิ่มก็ได้ และปรากฏว่าด้านหน้าใบตราส่งนี้มีช่องสำหรับการแจ้งมูลค่าสินค้าเพื่อการขนส่ง แต่ในช่องดังกล่าวมีข้อความว่า "เอ็นวีดี" (NVD)ซึ่งหมายถึงการไม่แจ้งมูลค่าสินค้าเพื่อการขนส่ง โดยมีการแจ้งเฉพาะน้ำหนักสินค้าและมีการคิดค่าระวางตามน้ำหนักที่แจ้งเท่านั้น การที่ผู้ส่งของระบุข้อความในช่องแจ้งมูลค่าสินค้าเพื่อการขนส่งว่าไม่แจ้งราคามูลค่าสินค้าเพื่อการขนส่ง ซึ่งทำให้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเติมดังกล่าวเท่ากับเป็นการเลือกที่จะยอมรับข้อจำกัดความรับผิดหลังใบตราส่งนั่นเอง จึงถือว่าผู้ส่งของได้แสดงความตกลงด้วยโดยชัดแจ้งในการจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งเป็นเงิน 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อน้ำหนักสินค้า 1 กิโลกรัมแล้ว ข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าวย่อมมีผลบังคับได้ ไม่เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 625
of 76