คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมชัย จึงประเสริฐ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,006 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8309/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการประกอบกิจการโรงงานสร้างความเดือดร้อน – สิทธิในการเยียวยาและบังคับตามคำพิพากษา
จำเลยทั้งสองประกอบกิจการโรงงานส่งเสียงดังและมีการพ่นสีส่งกลิ่นเหม็นเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายแก่อนามัยและเดือดร้อนรำคาญอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 นอกจากนี้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิจะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญให้สิ้นไป โดยไม่ลบล้างสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทนตามมาตรา 1337 อีกด้วย แต่จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของโรงงานย่อมมีสิทธิที่จะใช้สอยโรงงานอันเป็นทรัพย์สินของตนได้ เพียงแต่ต้องอยู่ภายในบังคับแห่งกฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น หากจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลที่ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเดือนร้อนรำคาญแก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองชอบที่จะขอให้บังคับคดีได้ ซึ่งย่อมทำให้ความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญระงับสิ้นลง การตั้งโรงงานของจำเลยแม้จะเป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.โรงงานฯ แต่เป็นการกระทำผิดต่อรัฐ พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับและดูแลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสองย้ายโรงงานไปอยู่ที่อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8122/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิด: การรับรู้ละเมิดผ่านผู้แทน & ผลผูกพันกับโจทก์
ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิด พ.ศ.2529 ข้อ 9 ได้มอบหมายการปฏิบัติราชการให้ผู้อำนวยการกองได้แก่ ผู้อำนวยการกอง กองก่อสร้างและบูรณะของกรุงเทพมหานครโจทก์ เป็นผู้มีอำนาจในการเรียกร้องให้ผู้กระทำละเมิดแก่โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย การที่ผู้อำนวยการกองดังกล่าว เรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิด จึงเป็นการกระทำในฐานะเป็นผู้แทนของโจทก์มิใช่ในฐานะเป็นส่วนราชการของโจทก์เพียงอย่างเดียว และการที่พันตำรวจโท ธ. มีหนังสือแจ้งคดีให้ผู้อำนวยการกองทราบว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถและจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ โดยผู้อำนวยการกองลงชื่อรับทราบและมีคำสั่งให้ดำเนินการต่อไปเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2537 มีผลผูกพันโจทก์ จึงต้องถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างช้าที่สุดในวันที่ 20 กรกฎาคม 2537 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 21 มกราคม 2542 พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันดังกล่าว จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในมูลความแห่งคดีอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ เพราะขาดนัดยื่นคำให้การ แต่จำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ในเรื่องนี้ไว้ การดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งทำโดยจำเลยที่ 2 จึงถือว่าได้ทำโดยจำเลยที่ 1 ด้วย ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 (1) เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามฟ้อง โจทก์ฎีกา แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อคดีของโจทก์ขาดอายุความ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 245 (1), 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7337/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทนายความที่มีข้อตกลงแบ่งเปอร์เซ็นต์จากผลคดี เป็นโมฆะเพราะขัดต่อจริยธรรมและความสงบเรียบร้อย
สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของ ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ ดังนั้นเพียงแต่คู่สัญญาตกลงว่าจ้างและรับจ้างแล้ว สัญญาย่อมเกิดขึ้นและผูกพันคู่สัญญาให้ต้องปฏิบัติตามนั้น เมื่อจำเลยได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความแล้ว แม้สัญญาจ้างว่าความจะมิได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ โจทก์ก็มีสิทธิที่จะนำพยานบุคคลมาสืบยืนยันว่าได้มีการตกลงค่าจ้างไว้เป็นจำนวนเท่าใด
ข้อสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยในส่วนที่ตกลงให้สินจ้างกันร้อยละ 7.5 ของราคาทรัพย์สิน และถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืน โจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้าง เช่นนี้ ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความ หรือยุยงให้ผู้อื่นเป็นความกัน จึงเป็นข้อสัญญาที่ให้ทนายความเข้ามีส่วนได้เสียในทางการเงินโดยตรงในผลของคดี จึงไม่ต้องด้วยหลักจริยธรรมทางวิชาชีพของทนายความ ย่อมถือว่าเป็นข้อสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5968/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ยื่นอุทธรณ์ถือเป็นการยอมรับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาเพื่อขอเพิ่มค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ซึ่งไม่เต็มตามคำขอท้ายฟ้อง คงมีแต่จำเลยเท่านั้นอุทธรณ์ ส่วนโจทก์เพียงแต่ยื่นคำแก้อุทธรณ์ แม้จะแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่พอใจค่าเสียหายตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ แต่โจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์ เท่ากับโจทก์พอใจตามจำนวนค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงพิพากษายืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาเพื่อขอให้ศาลฎีกากำหนดค่าเสียหายที่จำเลยต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ให้สูงขึ้นอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5968/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ถือเป็นการยอมรับจำนวนค่าเสียหาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสองไม่เต็มตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ คงมีแต่จำเลยที่ 1 ที่อุทธรณ์ ส่วนโจทก์ทั้งสองเพียงแต่ยื่นคำแก้อุทธรณ์เท่านั้น แม้ในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์จะกล่าวว่าโจทก์ไม่พอใจค่าเสียหายตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น เท่ากับโจทก์พอใจตามจำนวนค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงพิพากษายืน โจทก์จึงไม่มีสิทธินำปัญหาเรื่องเดียวกันนี้ขึ้นว่ากล่าวในคำฟ้องฎีกาเพื่อขอให้ศาลฎีกากำหนดค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองให้สูงขึ้นอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5928/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทุนทรัพย์พิพาทในคดีแพ่ง: การแบ่งแยกค่าเสียหายและข้อจำกัดการฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ด้วยความประมาทชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 ขับขี่และโจทก์ที่ 2 และที่ 3 นั่งซ้อนท้าย จนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้โจทก์ทั้งสามได้รับค่าเสียหายรวมกันมาเป็นจำนวน 254,000 บาท แม้ค่าเสียหายที่เป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ จะเป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกเป็นหนี้ของโจทก์แต่ละคนได้ แต่ในส่วนค่าขาดไร้อุปการะเป็นหนี้ที่สามารถแบ่งแยกเป็นส่วนของโจทก์แต่ละคนได้ นำไปรวมกับค่าเสียหายส่วนอื่นแล้ว โดยส่วนของโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 40,000 บาท ส่วนของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้รับคนละ 90,000 บาท เมื่อทุนทรัพย์พิพาทชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสามแต่ละคนไม่เกินคนละสองแสนบาท ย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง เนื่องจากทุนทรัพย์ชั้นฎีกาต้องถือตามจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิได้รับจากจำเลยทั้งสามนั่นเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5880/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมในบ้านพิพาท: การแบ่งแยกและการชดใช้ราคาเมื่อมีสิทธิในที่ดิน
โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกันในบ้านพิพาท คดีนี้โจทก์จำเลยต่างฟ้องขอให้ขับไล่ซึ่งกันและกัน ทั้งจำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชดใช้เงินค่าบ้านพิพาทมาด้วย ถือได้ว่าเป็นกรณีที่เจ้าของรวมเรียกให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวม แต่การให้รื้อถอนบ้านพิพาทย่อมทำให้สภาพบ้านเสียหาย ไม่เป็นผลดีแก่ทั้งสองฝ่ายแต่อย่างใด ทั้งการให้นำเฉพาะบ้านพิพาทออกประมูลขายทอดตลาดย่อมจะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์โดยไม่เป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาทตามสัญญาเช่าที่โจทก์ทำไว้กับบุคคลภายนอก บ้านพิพาทจึงควรตกเป็นของโจทก์ โดยให้จำเลยได้รับแต่ส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งของราคาบ้านพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5628/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงค่าเสียหายหลังเกิดอุบัติเหตุ ไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ หากยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจนเรื่องความรับผิดและจำนวนค่าเสียหาย
รถยนต์โจทก์ชนกับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ หลังเกิดเหตุโจทก์และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงค่าเสียหายว่าโจทก์เรียกร้องให้ฝ่ายจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายในส่วนของตัวรถยนต์ของโจทก์ โดยนำไปซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมทุกประการ และฝ่ายจำเลยที่ 1 ตกลงใช้ค่าเสียหายของรถยนต์ของโจทก์โดยทางบริษัท ล. ซึ่งทางเจ้าของรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเป็นผู้เอาประกันไว้ ซึ่งโจทก์ไม่ขัดข้อง ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวยังมีเงื่อนไขว่าโจทก์ต้องไปตกลงค่าเสียหายผ่านผู้รับประกันภัยรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ 1 ขับอีก ยังไม่มีความชัดเจนทั้งในเรื่องความรับผิดของบริษัทประกันภัยที่มีต่อโจทก์และจำนวนค่าเสียหาย จึงเป็นข้อตกลงที่ยังไม่ปราศจากการโต้แย้ง ถือไม่ได้ว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ อันจะทำให้หนี้จากมูลละเมิดระงับไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5604/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค่านายหน้า - การชำระหนี้ค่าซื้อขาย - เลิกสัญญโดยปริยาย - สิทธิในการรับเงินค่านายหน้าคืน
ตามสัญญานายหน้าจำเลยตกลงจ่ายค่านายหน้าให้แก่โจทก์ไว้ 2 กรณี ในกรณีแรก ตามสัญญาข้อ 3 ถ้าโจทก์ชี้ช่องให้จำเลยขายอาคารพาณิชย์ได้ในราคาไม่ต่ำกว่าห้องละ 6,500,000 บาท จำเลยทั้งสองตกลงจ่ายค่านายหน้าห้องละ 300,000 บาท ในกรณีที่สอง ตามสัญญาข้อ 4 หากโจทก์สามารถชี้ช่องให้จำเลยขายอาคารพาณิชย์ได้ในราคาสูงกว่าที่กำหนดไว้ในข้อ 3 จำเลยทั้งสองตกลงให้จำนวนเงินส่วนที่เกินเป็นของโจทก์ ดังนั้น เมื่อโจทก์ชี้ช่องให้จำเลยขายอาคารพาณิชย์ห้อง เอ. 9 และ เอ. 10 ได้ตามราคาที่กำหนดโจทก์ย่อมมีสิทธิได้ค่านายหน้าห้องละ 300,000 บาท และโจทก์ชี้ช่องให้จำเลยขายอาคารพาณิชย์ห้อง เอ. 2, เอ. 6 ถึง เอ. 8 ในราคาสูงกว่าที่กำหนด โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่านายหน้าที่ชี้ช่องให้จำเลยทั้งสองขายอาคารพาณิชย์ได้ในราคาไม่ต่ำกว่าที่กำหนดตามสัญญาข้อ 3 และมีสิทธิได้รับเงินในส่วนที่สามารถชี้ช่องให้จำเลยทั้งสองขายในราคาสูงกว่าที่กำหนดตามสัญญาข้อ 4 อีกด้วย
ตามสัญญานายหน้าข้อ 5 ระบุไว้ชัดว่า โจทก์และจำเลยตกลงกันให้ถือว่าค่านายหน้าที่โจทก์พึงได้รับส่วนหนึ่งเป็นการชำระค่าซื้อห้อง เอ. 1 ส่วนที่เหลือโจทก์จะชำระให้แก่จำเลยเป็นเงินสดภายใน 150 วัน นับแต่วันทำสัญญาจะซื้อขายกัน แต่นับแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายกันเป็นต้นมา โจทก์และจำเลยยังคงโต้เถียงพิพาทกันถึงจำนวนเงินค่านายหน้าที่โจทก์พึงมีสิทธิได้รับจากจำเลยทั้งสองตามสัญญานายหน้าซึ่งย่อมส่งผลให้ไม่สามารถคำนวณจำนวนหนี้ค่าซื้อห้อง เอ. 1 ส่วนที่เหลือได้ว่าเท่าไร ดังนั้น การที่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ค่าซื้อห้อง เอ. 1 ให้แก่จำเลยเพราะพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ตกเป็นผู้ผิดสัญญาจะซื้อจะขายจำเลยไม่มีสิทธิเลิกสัญญา การบอกเลิกสัญญาของจำเลยจึงไม่ทำให้สัญญาจะซื้อจะขายห้อง เอ. 1 ระงับลงเพราะไม่มีผลเป็นการบอกเลิกสัญญาตามกฎหมาย
จำเลยได้นำห้อง เอ. 1 ที่ตกลงขายให้แก่โจทก์ไปขายให้แก่บุคคลอื่น โดยโจทก์มิได้ทักท้วงหรือเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขาย ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายห้อง เอ. 1 โดยปริยาย โจทก์และจำเลยต้องยอมให้แต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่านายหน้าจำนวน 3,000,000 บาท ที่จำเลยหักไว้เป็นการชำระค่าซื้อห้อง เอ. 1 คืน พร้อมดอกเบี้ยตามมาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระค่านายหน้าเพียง 2,500,000 บาท โจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้ง จึงเป็นอันยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5481/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษปรับในความผิดตาม พ.ร.บ.เดินเรือฯ ต้องคำนวณตามพื้นที่และลงโทษเรียงรายบุคคล
พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา 118 บัญญัติว่า "ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 117... ต้องระวางโทษปรับโดยคำนวณตามพื้นที่ของอาคารหรือสิ่งอื่นใดในอัตราไม่น้อยกว่าตารางเมตรละห้าร้อยบาท แต่ไม่เกินตารางเมตรละหนึ่งหมื่นบาท" ดังนี้ ผู้กระทำความผิดฐานนี้จะต้องถูกลงโทษปรับโดยคำนวณตามพื้นที่ของอาคารหรือสิ่งอื่นใด มิได้มีข้อจำกัดว่าถ้ามีผู้ร่วมกระทำความผิดหลายคนให้ปรับรวมกันตามพื้นที่ของอาคารหรือสิ่งอื่นใด เมื่อพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องนำบทบัญญัติในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 โดยลงโทษปรับเรียงตามรายตัวบุคคลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31
of 101