คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมชัย จึงประเสริฐ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,006 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกง-ใช้เอกสารปลอม: จำเลยรู้เห็นการใช้โฉนดที่ดินปลอมเพื่อกู้เงิน ทำให้โจทก์เสียหาย
โจทก์ร่วมตกลงจะให้จำเลยกู้เงินตามที่ ภ. แนะนำมา แต่จำเลยไม่มีชื่อในโฉนดที่ดิน โจทก์ร่วมจึงให้ชายที่อ้างเป็น ถ. ทำสัญญากู้เงินแทนและยึดโฉนดที่ดินของ ถ. ไว้เป็นประกัน หากจำเลยไม่มีหลักทรัพย์มาวางเป็นประกันการชำระหนี้แล้วโจทก์ร่วมคงจะไม่ให้จำเลยกู้เงินแน่ การที่จำเลยร่วมกับชายที่อ้างเป็น ถ. นำโฉนดที่ดินของปลอมมาหลอกลวงโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลยและชายคนดังกล่าวไป หลังจากนั้นโจทก์ร่วมติดต่อให้จำเลยชำระดอกเบี้ยและโจทก์ร่วมให้จำเลยไปพบที่ทำงานกับแจ้งให้ทราบว่า ถ. นำโฉนดที่ดินปลอมมาวางเป็นหลักประกัน ประมาณต้นเดือนเมษายน 2540 จำเลยทำสัญญากู้เงินจำนวน 500,000 บาท ไว้ให้แก่โจทก์ร่วม ตามสัญญากู้เงินกับสั่งจ่ายเช็คธนาคาร ส. จำกัด (มหาชน) จำนวน 500,000 บาท ประมาณปลายเดือนเมษายน 2540 จำเลยนำเช็คธนาคาร ก. จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม จำนวนเงิน 50,000 บาท มาชำระค่าดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมนำไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและใบคืนเช็ค แม้โจทก์ร่วมจะเบิกความตอบทนายจำเลยขออนุญาตศาลถามว่า โจทก์ร่วมมอบเงินให้แก่ชายที่อ้างเป็น ถ. ไปแต่จำเลยเป็นผู้นับเงินซึ่งเจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่าที่อ้างเป็น ถ. เป็นผู้ตรวจนับเงิน จำเลยตรวจนับ 1 ปึก จำนวน 100,000 บาท จึงมิได้เป็นพิรุธว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความไม่อยู่แก่ร่องแก่รอยแต่อย่างใด การที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกู้เงินและเข้าร่วมลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินเป็นการผิดวิสัยของการเป็นนายหน้าหาเงินกู้ นอกจากนี้จำเลยยังทำสัญญากู้เงินและสั่งจ่ายเช็คตามจำนวนกู้เงินไปให้แก่โจทก์ร่วมรวมทั้งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าดอกเบี้ยไว้อีก แสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับพวกแบ่งหน้าที่กันทำโดยนำโฉนดที่ดินปลอมไปวางเป็นหลักประกันเงินกู้ อันเป็นการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง ทำให้จำเลยกับพวกได้เงินไปจากโจทก์ร่วม พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมและฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2203/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลาออกกรรมการบริษัทมีผลทันทีต่ออำนาจการกระทำแทน แม้ยังไม่ได้จดทะเบียน และไม่มีผลต่อสิทธิลูกจ้าง
ความเกี่ยวพันกันระหว่างบริษัทจำเลยกับ น. ผู้เป็นกรรมการนั้น ป.พ.พ. มาตรา 1167 บัญญัติให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยตัวแทน ดังนั้น การที่ น. ลาออกจากตำแหน่งกรรมการของบริษัทจำเลยซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกับการบอกเลิกเป็นตัวแทนย่อมบอกเลิกเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ทุกเมื่อ และย่อมมีผลทันทีเมื่อได้แสดงเจตนาแก่จำเลยดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 826, 827 หาใช่มีผลต่อเมื่อจำเลยได้นำไปจดทะเบียนไม่ ส่วนเรื่องการแต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการบริษัทจะต้องกระทำโดยที่ประชุมใหญ่ และการแต่งตั้งกรรมการบริษัทจะต้องนำความไปจดทะเบียนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1151 และ 1157 เท่านั้น ส่วนกรณีกรรมการบริษัทลาออกไม่มีบทกฎหมายบังคับไว้ เมื่อปรากฏว่าขณะที่ น. บอกเลิกจ้างโจทก์เป็นเวลาภายหลังที่ น. ลาออกจากบริษัทจำเลย น. ย่อมพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการจำเลยแล้ว จึงไม่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินต่าง ๆ อันเนื่องจากการเลิกจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1995/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรถไม่รู้เห็นการกระทำผิดจากการเช่ารถพร้อมคนขับ แม้มีน้ำหนักบรรทุกเกิน ก็ไม่ถือว่ามีส่วนได้เสีย
ขณะเกิดเหตุผู้ร้องให้บริษัท อ. เช่ารถยนต์บรรทุกของกลางไป และเนื่องจากเป็นการเช่ารถพร้อมพนักงานขับรถมีกำหนด 1 ปี ชำระค่าเช่าเป็นรายเดียน เจ้าของรถผู้ให้เช่าย่อมไม่ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการที่รถต้องบรรทุกน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะไม่ได้คิดค่าเช่าตามอัตราน้ำหนักบรรทุก ทั้งยังมีข้อสัญญาห้ามผู้เช่านำรถที่เช่าไปใช้ในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย ผู้ร้องจึงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1964/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการได้รับเงินทดแทนจากอุบัติเหตุทางทำงาน ลูกจ้างมีสิทธิได้รับจากทั้ง พ.ร.บ.เงินทดแทน และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัย
โจทก์เป็นลูกจ้างผู้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน ย่อมเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนตาม พ.ร.บ.เงินทดแทนฯ และในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ประสบภัยจากรถจึงเป็นผู้รับประโยชน์ที่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถฯ ส่วนบริษัท ศ. ซึ่งเป็นนายจ้างโจทก์จะมีสิทธิขอรับเงินทดแทนต่อจำเลยได้ก็แต่เฉพาะที่ได้ทดรองจ่ายเงินทดแทนไปก่อน แล้วขอรับเงินทดแทนที่ได้ทดรองจ่ายไปนั้นคืนจากจำเลยตาม พ.ร.บ.เงินทดแทนฯ มาตรา 25 เท่านั้น และแม้บริษัท ศ. จะเป็นผู้เอาประกันภัยรถโดยสารและประสบอุบัติเหตุ แต่บริษัทดังกล่าวก็ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถฯ เพราะมิใช่ผู้ประสบภัยจากรถ การที่บริษัท ศ. จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนแล้วมาขอรับเงินที่จ่ายไปคืนจากบริษัทผู้รับประกันภัยนั้น เป็นการทดรองจ่ายแทนบริษัทผู้รับประกันภัยในฐานะผู้เอาประกันภัย ไม่ใช่ทดรองจ่ายแทนจำเลยในฐานะนายจ้าง ตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.เงินทดแทนฯ มาตรา 25 จึงไม่มีสิทธิมาขอรับเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลย กับเมื่อบริษัทผู้รับประกันภัยได้จ่ายเงินคืนให้แก่บริษัท ศ. ไปแล้วย่อมทำให้สิทธิที่จะเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวของบริษัท ศ. ระงับสิ้นลงแล้วไม่อาจสละสิทธิในเงินจำนวนดังกล่าวนี้ได้ ประกอบกับ พ.ร.บ.เงินทดแทนฯ มาตรา 7 บัญญัติว่า การเรียกร้องหรือการได้มาซึ่งสิทธิหรือประโยชน์ตาม พ.ร.บ. นี้ไม่เป็นการตัดสิทธิหรือประโยชน์ที่ลูกจ้างพึงได้ตามกฎหมายอื่น ดังนี้ แม้บริษัท ศ. จะทำหนังสือสละสิทธิไปยังจำเลยก็ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิที่โจทก์จะพึงได้รับในฐานะผู้ประสบอันตรายตาม พ.ร.บ.เงินทดแทนฯ แต่ประการใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1964/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิรับเงินทดแทนจาก พ.ร.บ.เงินทดแทน และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ลูกจ้างมีสิทธิแม้บริษัทนายจ้างจะได้รับเงินทดแทนไปแล้ว
โจทก์ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานย่อมมีสิทธิได้รับเงินทดแทนตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 และโจทก์เป็นผู้ประสบภัยจากรถจึงเป็นผู้รับประโยชน์มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 บริษัท ศ. นายจ้างโจทก์จะมีสิทธิขอรับเงินทดแทนต่อจำเลยได้ก็แต่เฉพาะที่ได้ทดรองจ่ายเงินทดแทนไปก่อน แล้วไปขอรับคืนจากจำเลยตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 25 เท่านั้น และแม้บริษัท ศ. จะเป็นผู้เอาประกันภัยรถโดยสารคันที่โจทก์ทำงานและประสบอุบัติเหตุ แต่ก็มิใช่ผู้ประสบภัยจากรถ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 การที่บริษัท ศ. จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน และได้ขอรับคืนจากบริษัทผู้รับประกันภัยไปแล้ว เป็นการจ่ายแทนบริษัทผู้รับประกันภัยในฐานะผู้เอาประกันภัย มิใช่ทดรองจ่ายในฐานะนายจ้างตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 25 จึงไม่มีสิทธิมาขอรับเงินคืนจากจำเลยและไม่อาจสละสิทธิในเงินดังกล่าวได้ ทั้งการได้มาซึ่งสิทธิหรือประโยชน์ตามกฎหมายอื่นไม่ตัดสิทธิหรือประโยชน์ที่ลูกจ้างพึงได้ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 อีกตามมาตรา 7 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์ต้องมีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ การกระทำที่เกิดจากความคึกคะนองหลังดื่มสุราและฉวยโอกาสไม่ถือเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
วันเกิดเหตุเป็นวันสงกรานต์ พ. เรียกผู้เสียหายให้ดื่มสุรา จำเลยเดินมายืนข้างหน้าผู้เสียหาย ช. ยืนข้างหลัง จำเลยขว้างแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะใส่หน้าผู้เสียหายถูกหน้าผากเลือดไหล ผู้เสียหายลุกขึ้นยืนจะป้องกันตัว ช. กระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายจากด้านหลังขาดติดมือ จากนั้นจำเลยและ ช. ได้รุมชกต่อยผู้เสียหาย ง. และ ด. ใช้ไม้ฟืนยาว 1 เมตร คนละท่อนตีท้ายทอยผู้เสียหายแตก การกระทำของจำเลยน่าจะเกิดจากความคึกคะนองเมื่อได้ดื่มสุราเข้าไป และเป็นการพาลหาเรื่องมากกว่าจะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหาย การที่ ช. กระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายจากด้านหลังขาดติดมือไป เป็นการฉวยโอกาสเป็นส่วนตัวลำพังเพียงคนเดียว จำเลยไม่ได้สมรู้ร่วมคิดด้วย จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกับพวกชิงทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1400/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณา 'งานแสวงหากำไร' เพื่อบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน ต้องดูวัตถุประสงค์ของนิติบุคคล
การพิจารณาว่างานที่จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลจ้างโจทก์ทำเป็นงานที่แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจหรือไม่ ต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของจำเลยประกอบด้วย
จำเลยมีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการสถาบันเทคโนโลยี่บนมูลฐานไม่แบ่งสรรกำไร จำเลยมีอำนาจหน้าที่ทำนิติกรรมสัญญาและดำเนินกิจการในการให้เช่าทรัพย์สิน ให้กู้ยืม จำนำ จำนองได้ตามกฎบัตรก็เพื่อให้มีอำนาจบริหารจัดการทรัพย์สินและสิทธิประโยชน์ของจำเลยที่มีอยู่ เพื่อเป็นทุนดำเนินงานในโครงการตามวัตถุประสงค์ เป็นการช่วยเหลือตนเองโดยไม่จำต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐบาลของประเทศผู้ให้ทุนแต่เพียงอย่างเดียว งานโครงการเฟอร์โรซีเมนต์ที่จำเลยจ้างโจทก์ทำมีรายรับจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลไทยและรัฐบาลต่างประเทศ กับจากการจัดทำวารสารและสัมมนาทางวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ให้แก่สมาชิกและบุคคลทั่วไปหากมีรายรับเหลือจ่ายจากการดำเนินงานต้องนำไปใช้ในการดำเนินงานของโครงการเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในโครงการอื่นและห้ามนำมาแบ่งปันกัน งานที่จำเลยทำจึงไม่ใช่กิจการแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ในเรื่องค่าชดเชย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1317/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษทางอาญาตามกฎหมายแก้ไขใหม่ และการรอการลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดครั้งแรก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 76 หนึ่งในสามนั้นเป็นการใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3 และเป็นการแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับบทกฎหมายที่แก้ไขใหม่ โดยวางโทษจำคุกก่อนลดมาตราส่วนโทษจำคุกกระทงละ 4 ปี อันเป็นโทษขั้นต่ำของกฎหมายที่แก้ไขใหม่ตรงตามดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่ลงโทษตามขั้นต่ำของกฎหมายก่อนมีการแก้ไข และลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 76 หนึ่งในสาม คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยกระทงละ 1 ปี 4 เดือน นั้นถูกต้องแล้ว
จำเลยอายุ 19 ปี กำลังศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จำเลยไม่เคยมีประวัติในการกระทำความผิดกับไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และถูกขังในระหว่างฎีกา ทำให้หลาบจำบ้างแล้ว ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนเพียง 4 เม็ด ถือว่ามีจำนวนเล็กน้อย เพื่อให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป สมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีร้ายแรง: การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวในระหว่างทำงานส่งผลต่อชื่อเสียงนายจ้าง
โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุในฐานะพนักงานของจำเลยซึ่งเป็นบริษัทผู้รับประกันภัยได้พูดแนะนำ พ. เจ้าของรถคู่กรณีให้เรียกร้องค่าเสียเวลาหรือค่าเสียหายที่ต้องจ่ายเป็นค่าโดยสารรถแท็กซี่ระหว่างซ่อมรถจำนวน 2,500 บาท จากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งและขอส่วนแบ่งจำนวน 500 บาท ซึ่งแม้จะกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ แต่โจทก์กระทำในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุซึ่งเป็นงานที่ทำให้แก่จำเลย จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยโอกาสในการทำงานกับจำเลย ทำให้ลูกค้าไม่เชื่อถือและย่อมส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงทางทำมาหาได้ของจำเลยโดยตรง จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ตามมาตรา 67 และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรา 17 วรรคท้าย ประกอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 583

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาโดยโจทก์ร่วมผู้เสียหาย ทำให้คดีระงับตามกฎหมาย
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวซึ่งยังไม่ถึงที่สุด เมื่อปรากฏตามคำร้องของโจทก์ร่วมว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีอาญากับจำเลย โดยโจทก์และจำเลยไม่คัดค้าน ตามรูปคดีแสดงว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายประสงค์ที่จะถอนคำร้องทุกข์นั่นเอง แต่โจทก์ร่วมใช้ข้อความผิดไปเป็นถอนฟ้อง เนื่องจากคดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ส่วนผู้เสียหายเป็นเพียงโจทก์ร่วมเช่นนี้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)
(คำสั่งศาลฎีกา)
of 101