พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,006 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6315/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมจดทะเบียน: ผู้ซื้อผู้ขายร่วมรับผิดชอบตามกฎหมาย
ป.พ.พ. มาตรา 457 ใช้บังคับแก่คู่สัญญาในการทำสัญญาซื้อขาย ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ต้องชำระตาม ป.ที่ดินนั้น เป็นเงินที่รัฐเรียกเก็บจากราษฎรเป็นค่าตอบแทนที่รัฐให้บริการแก่ราษฎร ซึ่ง ป.ที่ดิน มาตรา 104 บัญญัติให้ผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียม อันเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยกฎหมายและมีลักษณะเป็นหนี้ที่จะแบ่งกันชำระมิได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าในระหว่างผู้ที่ยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมด้วยกันนั้นฝ่ายใดตกลงเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียม ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้ผู้ซื้อหรือผู้ขายคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนชำระค่าธรรมเนียมที่ขาดอยู่ทั้งหมดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6036/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องซ้ำในชั้นบังคับคดี: การขอสวมสิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2548 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ เมื่อพิจารณาเนื้อหาของคำร้องทั้งสองฉบับประกอบกันแล้ว เห็นว่า เป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอสวมสิทธิโจทก์ในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้รายเดียวกันเพื่อผู้ร้องจะได้บังคับคดีต่อ จึงมีประเด็นที่ศาลต้องพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีแทนโจทก์หรือไม่เช่นเดียวกันทั้งสองฉบับ หาใช่ประเด็นแห่งคดีของคำร้องทั้งสองฉบับแตกต่างกันดังที่ผู้ร้องอุทธรณ์ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเรื่องการขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ในการขอบังคับคดีต่อผู้ร้องแล้ว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในเรื่องเดียวกันอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตาม ป.วิ.พ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5981/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีเพิกถอนภาระจำยอมกับที่ดินแปลงใหม่หลังแบ่งแยก - ศาลอุทธรณ์สั่งได้ ไม่ขัดฟ้องเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนเพิกถอนภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 106380 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุดแล้ว ที่ดินดังกล่าวได้แบ่งแยกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 9411 ที่ดินทั้งสองแปลงจึงเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ไม่ว่าที่ดินจะได้แบ่งแยกกันเมื่อใดก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแจ้งให้พนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนภาะจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 9411 จึงไม่เป็นการพิพากษาและบังคับคดีนอกไปจากคำฟ้องและไม่เป็นการแก้ไขคำพิพากษา กับไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 143
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5947/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ได้ก่อน
ในการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นั้น นอกจากผู้อุทธรณ์จะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลแล้ว ผู้อุทธรณ์ยังต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลอีกด้วย ทั้งยังเป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวโดยศาลชั้นต้นไม่จำต้องมีคำสั่งให้ปฏิบัติก่อน จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งโดยนำเพียงค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล โดยไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง จึงเป็นการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5944/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: ภูมิลำเนาเฉพาะการจากการระบุสถานที่ส่งใบเรียกเก็บเงินในสัญญาบัตรเครดิต
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแล้วก็ย่อมที่จะพิพากษายกฟ้องได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นเพราะไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมฯ มาตรา 19 วรรคหนึ่ง
เมื่อพิจารณาใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตที่ระบุว่า สถานที่ส่งใบเรียกเก็บเงินคือที่ทำงานของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ที่เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร และอยู่ในเขตศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยได้เลือกเอาที่ทำงานของจำเลยโดยมีเจตนาชัดแจ้งว่าจะให้เป็นภูมิลำเนาเฉพาะการสำหรับการนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 42 โจทก์จึงมีอำนาจยื่นคำฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นได้
เมื่อพิจารณาใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตที่ระบุว่า สถานที่ส่งใบเรียกเก็บเงินคือที่ทำงานของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ที่เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร และอยู่ในเขตศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยได้เลือกเอาที่ทำงานของจำเลยโดยมีเจตนาชัดแจ้งว่าจะให้เป็นภูมิลำเนาเฉพาะการสำหรับการนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 42 โจทก์จึงมีอำนาจยื่นคำฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5634/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีนี้ไม่ใช่คดีมรดก แต่เป็นคดีเจ้าของรวมพิพาทกัน จึงไม่อาจใช้อายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754
การฟ้องคดีมรดกตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1754 หมายถึงคดีที่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกด้วยกันพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งทรัพย์มรดก
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาและเป็นผู้จัดการมรดกของ ม. ซึ่งมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในที่ดินและมีคำขอบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันตกตามที่ ม. มีสิทธิครอบครอง จำเลยให้การว่า ม. ยกที่ดินส่วนของ ม. ให้แก่จำเลย และจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่ ม. ยกให้จนได้สิทธิครอบครองแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการต่อสู้ว่า ม. มิใช่เจ้าของรวม แม้จำเลยจะให้การว่า ม. กับโจทก์ไม่มีบุตรด้วยกันและจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับ ม. ก็เป็นการยกขึ้นอ้างเพื่อสนับสนุนว่า ม. ยกที่ดินส่วนของ ม. ให้แก่จำเลยเท่านั้น จำเลยมิได้ให้การว่าจำเลยเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกของ ม. ด้วยผู้หนึ่ง จึงมิใช่เรื่องที่โจทก์และจำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งทรัพย์มรดก แต่พิพาทกันในเรื่องความเป็นเจ้าของรวมที่โจทก์อาศัยเป็นเหตุมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความหาใช่การฟ้องคดีมรดกไป จึงไม่อาจนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 มาใช้บังคับได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาและเป็นผู้จัดการมรดกของ ม. ซึ่งมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในที่ดินและมีคำขอบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันตกตามที่ ม. มีสิทธิครอบครอง จำเลยให้การว่า ม. ยกที่ดินส่วนของ ม. ให้แก่จำเลย และจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่ ม. ยกให้จนได้สิทธิครอบครองแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการต่อสู้ว่า ม. มิใช่เจ้าของรวม แม้จำเลยจะให้การว่า ม. กับโจทก์ไม่มีบุตรด้วยกันและจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับ ม. ก็เป็นการยกขึ้นอ้างเพื่อสนับสนุนว่า ม. ยกที่ดินส่วนของ ม. ให้แก่จำเลยเท่านั้น จำเลยมิได้ให้การว่าจำเลยเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกของ ม. ด้วยผู้หนึ่ง จึงมิใช่เรื่องที่โจทก์และจำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องในส่วนแบ่งทรัพย์มรดก แต่พิพาทกันในเรื่องความเป็นเจ้าของรวมที่โจทก์อาศัยเป็นเหตุมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความหาใช่การฟ้องคดีมรดกไป จึงไม่อาจนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 มาใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5578/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตฟ้องแย้ง: ประเด็นไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม และกระทบสิทธิบุคคลภายนอก ศาลไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตเพื่อแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินของจำเลยให้ถูกต้องแต่โจทก์ไปคัดค้าน จึงขอให้บังคับโจทก์ยินยอมรับการสอบเขตที่ดินของจำเลย เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลย มูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทตามประเด็นในคำฟ้องเดิมของโจทก์ซึ่งเป็นเรื่องขับไล่จำเลยผู้บุกรุกที่ดินของโจทก์ไม่อาจฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทาย แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินของโจทก์และจำเลยให้ตรงกับความจริงเป็นฟ้องแย้งที่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทายซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ศาลจะรับฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยไว้พิจารณาไม่ได้เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5564/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามเรื่องการอ้างเหตุเดิมเพื่อขอให้ศาลพิจารณาคดีซ้ำหลังศาลฎีกาชี้ขาดแล้ว
เดิมศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าโรงเรือนพิพาทปลูกสร้างอยู่บนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบ จำเลยไม่อาจอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวมาสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโดยเหตุว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยใหม่ในประเด็นข้ออื่น ไม่ใช่เรื่องอำนาจฟ้องว่าโรงเรือนพิพาทปลูกสร้างอยู่บนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาใหม่แล้ว จำเลยกลับยื่นฎีกาเข้ามาใหม่ขอให้ศาลฎีกายกฟ้องโจทก์โดยอ้างเหตุเดิมอีกว่า โรงเรือนพิพาทปลูกสร้างอยู่บนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาชี้ขาดคดีไปแล้ว ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5484/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำต้องมีคู่ความและเหตุเดียวกัน หากจำเลยเป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการบังคับคดี ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
การที่จะเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดในประเด็นใดโดยอาศัยเหตุอย่างใดแล้ว คู่ความเดียวกันจะรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นนั้น โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ แต่สำหรับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ของศาลชั้นต้นเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับ พ. ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยและบังคับจำนองเนื่องจาก พ. ผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยเป็นเพียงผู้ซื้อทรัพย์จำนองจากการขายทอดตลาดของศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11353/2534 ที่ ส. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ พ. ขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองเพื่อนำเงินชำระหนี้แก่ ส. แม้จำเลยจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์จำนอง แต่จำเลยก็มิได้เป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ที่โจทก์ฟ้อง พ. ทั้งจำเลยมีสิทธิที่จะไถ่จำนองได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 736 เมื่อจำเลยไม่ไถ่จำนองและโจทก์มีจดหมายบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยตามมาตรา 735 แล้วแต่จำเลยเพิกเฉยถือว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ของศาลชั้นต้นแล้ว มูลคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้จึงเป็นคนละอย่างกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5301/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความโมฆะจากข้อมูลเท็จ การฟ้องซ้ำ และการหลอกลวง
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองและสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนเป็นโมฆะ และให้จำเลยทั้งสามชำระเงินค่าที่ดินงวดที่ 1 จำนวน 2,100,000 บาท ที่โจทก์ชำระไปแล้วพร้อมดอกเบี้ยคืนแก่โจทก์ตามคำฟ้องดังกล่าวหากข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์กล่าวอ้าง สัญญาจะซื้อจะขายและข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ย่อมมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ไม่อาจบังคับให้โจทก์ชำระเงินตามสัญญาได้ และมีผลทำให้คู่สัญญากลับคืนสู่สถานะเดิม จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินค่าที่ดินงวดที่ 1 ที่ได้รับชำระแล้วแก่โจทก์ และโจทก์ซึ่งได้รับความเสียหายมีสิทธิฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ได้และโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวด้วย
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ฟ้องขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินตามเช็คซึ่งโจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้ค่าที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าการทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเกิดจากการที่จำเลยทั้งสามได้จัดให้จำเลยที่ 3 เข้าแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้สิทธิเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองแล้ว เมื่อครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเกินกว่า 5 ปี มีสิทธิได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค.3) หลังจากนั้นสามารถออกโฉนดที่ดินได้ทันที ทำให้โจทก์หลงเชื่อว่าได้รับโอนที่ดินมาจากจำเลยที่ 1 โดยชอบ และสามารถออกโฉนดที่ดินได้โจทก์จึงยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความอันมีลักษณะทำนองว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะ คู่สัญญาปราศจากข้อผูกพันในอันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา และเงินค่าที่ดินงวดที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ได้รับไปแล้วเป็นลักษณะลาภมิควรได้ จำเลยที่ 1 ต้องคือแก่โจทก์และการที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 เป็นเพราะจำเลยทั้งสามหลอกลวงโจทก์และกระทำละเมิดต่อโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่เกิดขึ้นใหม่ หลังจากการทำสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลบังคับได้ ดังนั้น ถือไม่ได้ว่าคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีนี้ จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ฟ้องขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินตามเช็คซึ่งโจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้ค่าที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าการทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเกิดจากการที่จำเลยทั้งสามได้จัดให้จำเลยที่ 3 เข้าแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้สิทธิเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองแล้ว เมื่อครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเกินกว่า 5 ปี มีสิทธิได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค.3) หลังจากนั้นสามารถออกโฉนดที่ดินได้ทันที ทำให้โจทก์หลงเชื่อว่าได้รับโอนที่ดินมาจากจำเลยที่ 1 โดยชอบ และสามารถออกโฉนดที่ดินได้โจทก์จึงยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความอันมีลักษณะทำนองว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะ คู่สัญญาปราศจากข้อผูกพันในอันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา และเงินค่าที่ดินงวดที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ได้รับไปแล้วเป็นลักษณะลาภมิควรได้ จำเลยที่ 1 ต้องคือแก่โจทก์และการที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 เป็นเพราะจำเลยทั้งสามหลอกลวงโจทก์และกระทำละเมิดต่อโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่เกิดขึ้นใหม่ หลังจากการทำสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลบังคับได้ ดังนั้น ถือไม่ได้ว่าคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีนี้ จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำ