พบผลลัพธ์ทั้งหมด 434 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8746/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจและผลของการทราบวันนัดพิจารณาคดี แม้ผู้รับมอบฉันทะทราบแล้ว ถือว่าจำเลยทราบ
จำเลยมอบอำนาจให้ ภ. บุตรชายยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีแทน โดยในใบมอบฉันทะระบุข้อความว่า จำเลยยอมรับผิดในกรณีที่ผู้รับมอบฉันทะของจำเลยได้ทำการไปนั้นทุกประการ และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานจำเลยโดย ภ. ได้ลงลายมือชื่อทราบกำหนดวันนัดสืบพยานใหม่แล้ว ถือได้ว่า ภ. เป็นผู้มีสิทธิทำการแทนจำเลยในการขอเลื่อนคดีและกำหนดวันนัด เมื่อ ภ. ได้ทราบวันนัดพิจารณาแล้วจึงถือว่าจำเลยทราบกำหนดวันนัดสืบพยานโดยชอบแล้ว การที่จำเลยอ้างว่าเข้าใจผิดและไม่มีเจตนาที่จะไม่ไปศาลในวันนัดดังกล่าว เป็นเรื่องความเข้าใจผิดโดยมีมูลเหตุมาจากความเข้าใจของจำเลยเอง ถือว่าเป็นการจงใจของจำเลยที่จะไม่ไปศาลตามกำหนดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8723/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน: การร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายโดยอ้างเป็นสมาชิกสหกรณ์และมีโควต้าเมล็ดพันธุ์
พฤติการณ์ที่จำเลยพา ว. ไปช่วยจำหน่ายเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่และจำเลยไปจำหน่ายเองแต่เพียงลำพัง เพื่อผลประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับเป็นเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ถือได้ว่าเป็นการร่วมมือกับ ว. ในการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่แล้ว แม้จะไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ร่วมกับว. หลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบสองและประชาชนว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์หอมหัวใหญ่บ้านกาดและมีโควต้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่จำหน่ายให้แก่ผู้เสียหายทั้งสิบสองและประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ย่อมส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาทุจริตของจำเลยอย่างชัดแจ้งในการที่จะหลอกลวงเอาเงินจากผู้เสียหายทั้งสิบสอง และการหลอกลวงดังว่านั้นจำเลยกับพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้เสียหายทั้งสิบสอง จึงเป็นตัวการร่วมกับ ว. กระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8721/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ 1 เดือน ต้องคำนวณตามปีปฏิทิน หากไม่มีวันตรงกันให้ถือวันสุดท้ายของเดือน
กำหนดระยะเวลา 1 เดือน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 ต้องคำนวณตามปีปฏิทิน และถ้าไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/5
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ฟังเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2544 และเดือนกุมภาพันธ์ 2544 มีเพียง 28 วัน จำเลยที่ 3 ต้องยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 หากจำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ทัน จำเลยที่ 3 ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องขอให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปได้ เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษเว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 โดยไม่มีเหตุสุดวิสัย จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 แล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วปรากฎว่าจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ฟังเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2544 และเดือนกุมภาพันธ์ 2544 มีเพียง 28 วัน จำเลยที่ 3 ต้องยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 หากจำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ทัน จำเลยที่ 3 ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องขอให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปได้ เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษเว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 โดยไม่มีเหตุสุดวิสัย จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 แล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วปรากฎว่าจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8721/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณระยะเวลาอุทธรณ์ตามปีปฏิทิน และการขยายเวลาอุทธรณ์ที่เกินกำหนด
กำหนดระยะเวลา 1 เดือนต้องคำนวณตามปีปฏิทิน และถ้าไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/5ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2544 และเดือนกุมภาพันธ์ 2544 มีเพียง 28 วัน จำเลยต้องยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8524/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากความผิดฐานกระทำชำเราโดยมีเหตุฉกรรจ์เป็นความผิดฐานเดิมที่ไม่มีเหตุฉกรรจ์ และข้อจำกัดในการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสาม ลงโทษจำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 7 ปี เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จากความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์ ขณะกระทำผิดจำเลย มีมีดเป็นอาวุธ เป็นความผิดฐานเดิมไม่ประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์ คือขณะกระทำผิดจำเลยไม่มีอาวุธ ทั้งความผิดทั้ง สองวรรคต่างเป็นความผิดอันยอมความกันไม่ได้ จึงเป็นกรณีแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี ที่โจทก์ฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าขณะกระทำความผิดจำเลยมีมีดเป็นอาวุธหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม มิให้โจทก์ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8524/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงโทษจากความผิดฐานกระทำชำเราเด็กโดยมีเหตุฉกรรจ์เป็นไม่ฉกรรจ์ และข้อจำกัดในการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ลงโทษจำคุก 25 ปีศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 7 ปีจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้จากความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์คือขณะกระทำผิดจำเลยมีมีดเป็นอาวุธเป็นความผิดฐานเดิมโดยไม่ประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์คือขณะกระทำผิดจำเลยไม่มีอาวุธทั้งความผิดทั้งสองวรรคต่างก็เป็นความผิดอันยอมความกันไม่ได้จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8388/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษที่รอการลงโทษหลายคดี ศาลมีอำนาจตาม ป.อ.มาตรา 58 วรรคแรก
ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังได้ โดยมิได้มีข้อจำกัดว่าจะต้องเป็นโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเพียงคดีเดียว ดังนั้น ในกรณีที่มีการรอการลงโทษในคดีก่อนหลายคดี ศาลที่พิพากษาคดีหลังก็ย่อมมีอำนาจที่จะบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทุกคดีเข้ากับโทษในคดีหลังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8388/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษคดีเก่ากับการรอการลงโทษ: ศาลมีอำนาจบวกโทษจากคดีเก่าหลายคดีเข้ากับโทษคดีใหม่ได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก มิได้มีข้อจำกัด ว่าจะต้องเป็นการบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเพียงคดีเดียวดังนั้น ในกรณีที่มีการรอการลงโทษในคดีก่อนหลายคดี ศาลที่พิพากษาคดีหลังก็ย่อมมีอำนาจที่จะบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทุกคดีเข้ากับโทษในคดีหลังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8170/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาฯ และหน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นคนละกรรมกัน แม้จะต่อเนื่องกัน
การกระทำความผิดฐานเป็นธุระจัดหา ฯ และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสาม กับมาตรา 310 วรรคแรก แม้จะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน แต่สามารถแยกเจตนาในการกระทำความผิดออกจากกัน องค์ประกอบในการกระทำผิดก็ต่างกัน ทั้งการกระทำความผิดฐานหนึ่งก็ไม่จำต้องกระทำความผิดอีกฐานหนึ่งก่อน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8147/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนกระบวนพิจารณาเนื่องจากส่งหมายไม่ชอบ และจำเลยไม่ทราบการฟ้องคดี
การที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการผิดระเบียบ มิได้อุทธรณ์ว่าเป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องและอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่พ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีประเด็นโต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองยี่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาทที่จังหวัดจันทบุรี แต่เมื่อขณะถูกฟ้องจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยทั้งสองได้ไปค้าขายอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี จึงไม่ทราบเรื่องที่ถูกฟ้อง ซึ่งโดยสภาพย่อมเป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จำเลยทั้งสองจะมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาได้ จำเลยทั้งสองจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วได้
การที่พนักงานเดินหมายนำหมายนัดสืบพยานโจทก์ไปปิด ณ บ้านจำเลยทั้งสอง เป็นเวลาก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์เพียง 11 วัน การปิดหมายนัดดังกล่าวจึงไม่มีผลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบ แม้จำเลยทั้งสองไม่ไปศาลในวันนัดก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ชอบที่ศาลจะเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวเสียได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาทที่จังหวัดจันทบุรี แต่เมื่อขณะถูกฟ้องจนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยทั้งสองได้ไปค้าขายอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี จึงไม่ทราบเรื่องที่ถูกฟ้อง ซึ่งโดยสภาพย่อมเป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จำเลยทั้งสองจะมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาได้ จำเลยทั้งสองจึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วได้
การที่พนักงานเดินหมายนำหมายนัดสืบพยานโจทก์ไปปิด ณ บ้านจำเลยทั้งสอง เป็นเวลาก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์เพียง 11 วัน การปิดหมายนัดดังกล่าวจึงไม่มีผลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบ แม้จำเลยทั้งสองไม่ไปศาลในวันนัดก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ชอบที่ศาลจะเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวเสียได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27