พบผลลัพธ์ทั้งหมด 329 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8687/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน และการผิดสัญญา การบังคับคดีตาม ป.พ.พ. มาตรา 456
เอกสารหมาย จ. 3 ซึ่งจำเลยทำถึงโจทก์ มีข้อความว่า ตามที่โจทก์ตกลงซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจากจำเลยนั้น จำเลยขอเลื่อนกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ไปโอนพร้อมกับนาง อ. ดังนี้ เอกสารหมาย จ. 3 เป็นหลักฐานซึ่งทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ โจทก์จึงสามารถใช้เอกสารหมาย จ. 3 เป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับคดีได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง ปรากฏว่าจำเลยได้เลื่อนกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นาง อ. มาตลอด นาง อ. จึงฟ้องร้อง จนจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นาง อ. แต่ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากราคาที่ดินพิพาทที่ตกลงขายให้แก่โจทก์ และหากจำเลยไม่อาจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยก็ต้องใช้ค่าเสียหายเป็นเงินให้แก่โจทก์
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากราคาที่ดินพิพาทที่ตกลงขายให้แก่โจทก์ และหากจำเลยไม่อาจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยก็ต้องใช้ค่าเสียหายเป็นเงินให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6697/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โจทก์ฎีกาซ้ำข้อหาเดิมที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขอให้ลงโทษจำเลยในฐานร่วมเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย และยิงผู้เสียหาย แต่กระสุนปืนไม่ถูก อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,83, 91,288 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดข้อหาดังกล่าวอีกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6697/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีอาญา ศาลชั้นต้น-อุทธรณ์ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาซ้ำข้อหาเดิม
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขอให้ลงโทษ จำเลยในฐานร่วมเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย และยิงผู้เสียหาย แต่กระสุนปืนไม่ถูก อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๓, ๙๑, ๒๘๘ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ในความผิดข้อหาดังกล่าวอีกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ ประกอบ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๒๔
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6500/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ที่ล่าช้าต้องมีเหตุพฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้ การลืมส่งหมายเรียกไม่ใช่เหตุ
การยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ที่ล่าช้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 เหตุแห่งความล่าช้าจักต้องเป็นกรณีที่เป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยอ้างเหตุที่ไม่ทราบเรื่องถูกฟ้องว่า คนในบ้านจำเลยลืมมอบหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ใช่พฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้ จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยอ้างเหตุที่ไม่ทราบเรื่องถูกฟ้องว่า คนในบ้านจำเลยลืมมอบหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ใช่พฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้ จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5601/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกพิจารณาความผิดฐานมีไว้เพื่อขายกับฐานขาย และการวินิจฉัยเรื่องการริบของกลางแม้จำเลยไม่อ้าง
โจทก์ฟ้องจำเลยสองข้อหา คือ ข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและข้อหาขายเมทแอมเฟตามีน การฟังข้อเท็จจริงในความผิดแต่ละข้อหาต้องแยกออกจากกันการที่ศาลยกฟ้องในข้อหาหนึ่งเนื่องจากพยานโจทก์ตกอยู่ในความสงสัย จึงหามีผลทำให้อีกข้อหาหนึ่งตกอยู่ในความสงสัยและมีพิรุธไปด้วยไม่ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ขณะกำลังจะซุกเมทแอมเฟตามีนของกลางบริเวณกองขยะและเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวบรรจุหลอดดูดเครื่องดื่มปิดหัวท้ายแยกบรรจุหลอดละ 1 เม็ด จำนวน 2 หลอด หลอดละ 3 เม็ด จำนวน 1 หลอด และหลอดละ 4 เม็ดจำนวน 1 หลอด จึงเป็นเครื่องชี้เจตนาของผู้มีไว้ในครอบครองได้ว่า การแยกบรรจุหลอดเช่นนี้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการขาย หาใช่มีไว้ในครอบครองแต่อย่างเดียวไม่แม้โจทก์มิได้นำสืบว่าใครเป็นผู้แบ่งเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว ก็ไม่ทำให้น้ำหนักคำพยานโจทก์ที่ฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองต้องเสียไป เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยขายเมทแอมเฟตามีน ธนบัตรของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ได้มาโดยได้กระทำผิด ชอบที่จะต้องส่งคืนแก่เจ้าของ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4745/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเภทวัตถุออกฤทธิ์และการมีอำนาจลงโทษตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯ แม้มีการเปลี่ยนแปลงประกาศ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายอีเฟดรีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 13 ทวิ,89 แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 แม้โจทก์จะอ้างประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 51(พ.ศ. 2531) ที่กำหนดให้อีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 และประกาศฉบับดังกล่าวได้ถูกยกเลิกโดยประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 71(พ.ศ. 2534) แล้วก็ตาม แต่จำเลยมิได้หลงต่อสู้ และประกาศฉบับหลังได้ระบุให้อีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือวันที่ 27 มิถุนายน 2534 เมื่อจำเลยกระทำผิดหลังจากประกาศฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฟ้องได้มิใช่เรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย จำเลยมีอีเฟดรีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ไว้เพื่อขายเป็นจำนวนมากถึง 600 เม็ด หนัก82,229 กรัม นับเป็นผู้ก่อพิษภัยอันร้ายแรงต่อเยาวชนและต่อสังคมโทษจำคุก 6 ปีนับว่าเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4587/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: สัญญาไม่เสร็จเด็ดขาดหากยังไม่ได้รังวัดและชำระเงินครบถ้วน การตกลงซื้อขายเพิ่มเติมแม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลได้หากมีการชำระเงิน
เอกสารฉบับพิพาท ระบุสาระสำคัญแห่งสัญญาคือฝ่ายจำเลยตกลงแบ่งขายที่ดินบางส่วนให้แก่โจทก์ โดยมีเงื่อนเวลาแบ่งชำระราคาที่ดินออกเป็น 2 งวดงวดแรกชำระให้แก่จำเลยไปแล้วในวันทำสัญญา ส่วนงวดที่ 2 กำหนดชำระในเวลาภายหลังจากวันทำสัญญา โดยสภาพแห่งเนื้อความของสัญญา โจทก์จำเลยยังมีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติต่อกันอีก คือโจทก์ต้องชำระราคาส่วนที่เหลือและจำเลยต้องไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ขายตามจำนวนเนื้อที่ที่แน่นอนในสัญญา หาใช่ส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายและชำระราคาที่ดินที่ซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในวันทำสัญญาอันจะถือเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เอกสารฉบับพิพาทจึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
สำหรับการตกลงขายที่ดินเพิ่มเติมให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยผู้จะขายยังต้องไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ขายตามจำนวนเนื้อที่ที่แน่นอน ซึ่งถึงแม้มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่มีการชำระราคาแล้ว กรณีจึงต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้
สำหรับการตกลงขายที่ดินเพิ่มเติมให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยผู้จะขายยังต้องไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ขายตามจำนวนเนื้อที่ที่แน่นอน ซึ่งถึงแม้มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่มีการชำระราคาแล้ว กรณีจึงต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4587/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: การแบ่งชำระราคาและการรังวัดที่ดินเป็นองค์ประกอบสำคัญ
เอกสารฉบับพิพาท ระบุสาระสำคัญแห่งสัญญาคือฝ่ายจำเลยตกลงแบ่งขายที่ดินบางส่วนให้แก่โจทก์ โดยมีเงื่อนเวลาแบ่งชำระราคาที่ดินออกเป็น 2 งวดงวดแรกชำระให้แก่จำเลยไปแล้วในวันทำสัญญา ส่วนงวดที่ 2 กำหนดชำระในเวลาภายหลังจากวันทำสัญญา โดยสภาพแห่งเนื้อความของสัญญา โจทก์จำเลยยังมีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติต่อกันอีก คือโจทก์ต้องชำระราคาส่วนที่เหลือและจำเลยต้องไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ขายตามจำนวนเนื้อที่ที่แน่นอนในสัญญา หาใช่ส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายและชำระราคาที่ดินที่ซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในวันทำสัญญาอันจะถือเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เอกสารฉบับพิพาทจึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
สำหรับการตกลงขายที่ดินเพิ่มเติมให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยผู้จะขายยังต้องไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ขายตามจำนวนเนื้อที่ที่แน่นอน ซึ่งถึงแม้มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่มีการชำระราคาแล้ว กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง เป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้
สำหรับการตกลงขายที่ดินเพิ่มเติมให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยผู้จะขายยังต้องไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ขายตามจำนวนเนื้อที่ที่แน่นอน ซึ่งถึงแม้มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่มีการชำระราคาแล้ว กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง เป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4501/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาทุนทรัพย์ฟ้องแย้งเพื่อวินิจฉัยสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง และประเด็นความประมาทในการซ่อมรถ
การพิจารณาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาว่าจะฎีกาในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ต้องพิจารณาส่วนของฟ้องแย้งต่างหากจากส่วนของฟ้องเดิม เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในส่วนของฟ้องแย้งไม่เกิน 200,000 บาท ย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4343/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อยาเสพติดเพื่อส่งมอบให้สายลับ ไม่ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย การล่อซื้อเพื่อช่วยเหลือเจ้าพนักงานไม่ได้รับการพิสูจน์
จำเลยซื้อเฮโรอีนของกลางจาก อ. มาให้สายลับตามที่สายลับร้องขอ โดยมิได้มีข้อเท็จจริงอื่นใดมานำสืบว่าจำเลย ได้ผลประโยชน์ทั้งจากฝ่ายผู้ขายหรือฝ่ายขอให้ไปซื้อ จึงเป็นการซื้อแทนสายลับ เฮโรอีนของกลางที่ซื้อได้เป็นของ สายลับผู้ซื้อที่แท้จริงตั้งแต่แรกมิใช่เป็นของจำเลย จำเลยนำเฮโรอีนเพื่อมอบให้สายลับจึงเป็นการส่งมอบคืน ให้แก่สายลับมิใช่เพื่อให้เฮโรอีนแก่สายลับ ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่าไปทำการล่อซื้อเพื่อ ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการจับกุม อ. ผู้จำหน่าย เป็นข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับข้อนำสืบของเจ้าพนักงานตำรวจ ผู้วางแผนการจับกุม ข้อนำสืบของจำเลยปราศจากพยานหลักฐาน สนับสนุน จึงเป็นเพียงคำปฏิเสธลอย ๆ ที่ไม่มีน้ำหนัก ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่อ้างว่าครอบครองเฮโรอีนแทนผู้อื่นนั้น การครอบครองแทนคือการครอบครองลักษณะหนึ่งซึ่งอาจมีผลต่อ ทางกฎหมายส่วนแพ่งแต่ในส่วนกฎหมายอาญาไม่มีบทบัญญัติ ก่อให้เกิดผลต่างเป็นข้อจำกัดความรับผิดหรือเป็นข้อยกเว้นโทษ