คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 218 วรรคแรก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 123 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4227/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นและข้อเท็จจริงปิดผัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนนั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า เหตุที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นเป็นเหตุลดโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเหตุในลักษณะคดี โดยที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยที่ 1 เพราะให้การรับสารภาพชั้นศาล และลดโทษให้จำเลยที่ 2 เพราะรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นคนละเหตุกัน การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าเป็นเหตุเดียวกันนั้นเป็นการปิดผันข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นข้อกฎหมาย ซึ่งในเนื้อหาก็คือการฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4227/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง การโต้แย้งเหตุลดโทษที่ไม่ใช่ข้อกฎหมาย
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนนั้นจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า เหตุที่ศาลชั้นต้นเป็นเหตุลดโทษจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เป็นเหตุในลักษณะคดีโดยที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยที่ 1 เพราะให้การรับสารภาพชั้นศาล และลดโทษให้จำเลยที่ 2 เพราะรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นคนละเหตุกัน การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าเป็นเหตุเดียวกันนั้น เป็นการปิดบังข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นข้อกฎหมาย ซึ่งในเนื้อหาก็คือการฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมาย ดังกล่าวเช่นกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3779/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์อ่อนแอ ไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และมีอาวุธปืน
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียวและไม่ได้ตัวมาเบิกความ คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย บันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาและภาพถ่าย การ ชี้ตัวผู้ต้องหา ที่ผู้เสียหายเป็นผู้ชี้เป็นพยานต่อศาลว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้าย แต่พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานชั้นสอง มิได้ทำต่อหน้าศาล จำเลยไม่มีโอกาส ซักค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างชัดแก่ศาลได้ พยานโจทก์ที่เหลือมีแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและในชั้นแจ้งข้อหา บันทึกการนำชี้เกิดเหตุประกอบคำสารภาพ และภาพถ่ายผู้ต้องหานำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เมื่อจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าได้ให้ การรับสารภาพดังกล่าวเพราะถูกขู่บังคับและทำร้าย แม้โจทก์จะมีพนักงานสอบสวนผู้ดำเนินการตามเอกสารและภาพถ่ายดังกล่าวมา เป็นพยานประกอบ พยานหลักฐานโจทก์ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้อง ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตาม ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทง ไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ ผู้เสียหายแล้ว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามฟ้องด้วย ศาลฎีกามีอำนาจ พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานนี้ได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3779/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอรับฟังว่าจำเลยกระทำความผิด ฎีกาแก้ฟ้องได้ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียว และไม่ได้ตัวมาเบิกความ คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย บันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาและภาพถ่ายการชี้ตัวผู้ต้องหา ที่ผู้เสียหายเป็นผู้ชี้เป็นพยานต่อศาลว่า ผู้เสียหายจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้าย แต่พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานชั้นสอง มิได้ทำต่อหน้าศาล จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างชัดแก่ศาลได้พยานโจทก์ที่เหลือมีแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและในชั้นแจ้งข้อหา บันทึกการนำชี้เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และภาพถ่ายผู้ต้องหานำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เมื่อจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าได้ให้การรับสารภาพดังกล่าวเพราะถูกขู่บังคับและทำร้าย แม้โจทก์จะมีพนักงานสอบสวนผู้ดำเนินการตามเอกสารและภาพถ่ายดังกล่าวมาเป็นพยานประกอบ พยานหลักฐานโจทก์ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้อง
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายแล้ว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามฟ้องด้วย ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานนี้ได้ด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2009/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญา: ศาลไม่รับวินิจฉัยฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน กระทงละ 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138,140 วรรคสอง,309 วรรคสอง กระทงหนึ่ง และมีความผิดตามมาตรา 142 อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 วรรคสอง จำคุกคนละ 3 ปี และลงโทษตามมาตรา 142 จำคุกคนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง,140 วรรคแรก ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 140 วรรคแรก จำคุกคนละ 1 ปี รวมกับโทษฐานอื่นแล้วคงจำคุกคนละ 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งหมายความว่าความผิดกระทงแรกศาลอุทธรณ์ภาค 2ยังคงปรับบทลงโทษตามมาตรา 309 วรรคสอง ด้วย และความผิดกระทงหลังก็ยังคงปรับบทลงโทษและกำหนดโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ความผิดกระทงแรกศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสองเท่านั้น ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาระบุวรรคและแก้วรรคมาด้วยนั้น เป็นการระบุเพื่อให้ชัดเจนแก้ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น มิได้แก้บทมาตราที่ลงโทษแต่อย่างไรคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อโทษที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 วางมาแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปีคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดฐานพาอาวุธปืนและการแก้ไขโทษ
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้กระทำผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ตาม ป.อ.มาตรา 371เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ แต่ให้ลงโทษตามพ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุก 6 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 371 ให้ปรับ 100 บาท ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและโทษจำคุกไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกายกฟ้องคดีพยายามฆ่าและอาวุธปืน เหตุพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัย ไม่น่าเชื่อถือ
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้กระทำผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ แต่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุก 6 เดือนและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ให้ปรับ 100 บาท ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและโทษจำคุกไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่ายและการปรับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ศาลฎีกาไม่อนุญาตฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าจำเลยมีกัญชาน้ำหนักเพียง 15.90 กรัม แต่ตามมาตรา 26 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2523 กำหนดว่าต้องมีกัญชาไว้ในครอบครองมีปริมาณถึง 10 กิโลกรัม ขึ้นไป จึงจะให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 26 วรรคสอง และ 76 วรรคสอง นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยมีกัญชาจำนวน15.90 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 76 วรรคสองดังกล่าวหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงไม่อาจฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ต้องห้ามตามมาตรา 218 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายสถานเดียว อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 76 วรรคสองเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้วจึงไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 26 วรรคแรก และ76 วรรคแรก อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่าย: ศาลฎีกาไม่รับฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และพิจารณาความผิดฐานครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น
จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าจำเลยมีกัญชาน้ำหนักเพียง 15.90 กรัม แต่ตามมาตรา 26 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 กำหนดว่าต้องมีกัญชาไว้ในครอบรองมีปริมาณถึง 10 กิโลกรัม ขึ้นไป จึงจะให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 26 วรรคสอง และ 76 วรรคสอง นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยมีกัญชาจำนวน 15.90กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 76 วรรคสองดังกล่าวหรือไม่จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฎว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงไม่อาจฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ต้องห้ามตามมาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายสถานเดียว อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 76 วรรคสองเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 26 วรรคแรก และ 76 วรรคแรก อีก
of 13