คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 453

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 703 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2757/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการบังคับใช้สัญญาซื้อขาย: การริบเงินประกัน ค่าปรับ และค่าเสียหาย
จำเลยทำสัญญาขายหลอดเครื่องรับส่งวิทยุให้โจทก์ สัญญาข้อ 7 มีว่าเพื่อเป็นการประกันการปฏิบัติตามสัญญานี้ ผู้ขายได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารมามอบไว้แก่ผู้ซื้อ ถ้าผู้ขายละเลยเสียไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาข้อหนึ่งข้อใดผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญา โดยเรียกร้องเอาจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันนี้เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควรได้ทันทีข้อ 8 นี้ว่า ถ้าผู้ขายไม่นำหลอดเครื่องรับส่งวิทยุที่ขายตามสัญญามาส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อให้เป็นการถูกต้องครบถ้วนภายในกำหนด ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นจำนวนเงินร้อยละห้าของราคาหลอดเครื่องรับส่งวิทยุที่ยังไม่ได้ส่งโดยคิดเป็นรายเดือน จนกว่าผู้ขายจะได้นำสิ่งของมาส่งมอบให้ครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญา กับให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเสียเมื่อใดก็ได้ในกรณีที่ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาให้สัญญานี้เป็นอันระงับไป ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิผู้ซื้อในอันที่จะริบเงินประกันตลอดจนค่าปรับตามสัญญา และสัญญาข้อ 9 มีว่านอกจากที่กล่าวมาแล้วในข้อ 8 ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆก็ตามจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ขายยอมรับผิดโดยสิ้นเชิง ดังนี้สัญญาทั้งสามข้อดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ต่างกัน คือข้อ 7 ใช้บังคับในกรณีที่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญาเลย โดยไม่รวมถึงกรณีที่จำเลยส่งของให้โจทก์ แต่ส่งให้ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องตามสัญญา ซึ่งอยู่ในบังคับตามสัญญาข้อ 8 และกรณีตามสัญญาข้อ 8 ยังให้สิทธิโจทก์บอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ในอันที่จะริบเงินประกันและเรียกเอาค่าปรับหรือเบี้ยปรับตามสัญญาส่วนข้อ 9 ใช้บังคับในกรณีที่โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษนอกเหนือจากสัญญาข้อ 7 และข้อ 8 ฉะนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญามิได้ส่งมอบของให้แก่โจทก์เลย โจทก์ย่อมมีสิทธิริบเงินประกันดังที่กำหนดไว้ในข้อ 7และเรียกค่าเสียหายตามข้อ 9 จะปรับจำเลยตามข้อ 8 มิได้(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2526)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2757/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงในสัญญาซื้อขาย: สิทธิริบเงินประกัน, ค่าปรับ, และความรับผิดจากความเสียหาย
จำเลยทำสัญญาขายหลอดเครื่องรับส่งวิทยุให้โจทก์ สัญญาข้อ 7 มีว่าเพื่อเป็นการประกันการปฏิบัติตามสัญญานี้ ผู้ขายได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารมามอบไว้แก่ผู้ซื้อ ถ้าผู้ขายละเลยเสียไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาข้อหนึ่งข้อใดผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญา โดยเรียกร้องเอาจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันนี้เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควรได้ทันทีข้อ 8 นี้ว่า ถ้าผู้ขายไม่นำหลอดเครื่องรับส่งวิทยุที่ขายตามสัญญามาส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อให้เป็นการถูกต้องครบถ้วนภายในกำหนด ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นจำนวนเงินร้อยละห้าของราคาหลอดเครื่องรับส่งวิทยุที่ยังไม่ได้ส่งโดยคิดเป็นรายเดือน จนกว่าผู้ขายจะได้นำสิ่งของมาส่งมอบให้ครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญา กับให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเสียเมื่อใดก็ได้ในกรณีที่ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาให้สัญญานี้เป็นอันระงับไป ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิผู้ซื้อในอันที่จะริบเงินประกันตลอดจนค่าปรับตามสัญญา และสัญญาข้อ 9 มีว่านอกจากที่กล่าวมาแล้วในข้อ 8 ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆก็ตามจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ขายยอมรับผิดโดยสิ้นเชิง ดังนี้สัญญาทั้งสามข้อดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ต่างกัน คือข้อ 7 ใช้บังคับในกรณีที่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญาเลย โดยไม่รวมถึงกรณีที่จำเลยส่งของให้โจทก์ แต่ส่งให้ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องตามสัญญา ซึ่งอยู่ในบังคับตามสัญญาข้อ 8 และกรณีตามสัญญาข้อ 8 ยังให้สิทธิโจทก์บอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ในอันที่จะริบเงินประกันและเรียกเอาค่าปรับหรือเบี้ยปรับตามสัญญาส่วนข้อ 9 ใช้บังคับในกรณีที่โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษนอกเหนือจากสัญญาข้อ 7 และข้อ 8 ฉะนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญามิได้ส่งมอบของให้แก่โจทก์เลย โจทก์ย่อมมีสิทธิริบเงินประกันดังที่กำหนดไว้ในข้อ 7 และเรียกค่าเสียหายตามข้อ 9 จะปรับจำเลยตามข้อ 8 มิได้(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2526)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกค่าสินค้าซื้อขาย และการเชิดตัวบุคคลแสดงเป็นตัวแทน
เมื่อจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ไปทำสัญญาเป็นตัวแทนกับโจทก์ ส.ก็ไปเป็นพยานในสัญญานอกจากส. จะเป็นภริยาจำเลยที่ 2 และเป็นมารดาจำเลยที่ 3 แล้ว ยังใช้ชื่อ ส. เป็นชื่อห้างจำเลยที่ 1และหัวกระดาษผัดหนี้ก็มีชื่อจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิด ส. ออกแสดงเป็นตัวแทนของตน
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าแบตเตอรี่ที่จำเลยสั่งซื้อ จำเลยให้การว่าฟ้องขาดอายุความแล้วเพราะไม่ฟ้องภายใน 2 ปีข้อต่อสู้ของจำเลยอ้างเหตุชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้ว เพราะบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับว่าจะต้องระบุอ้างมาตราในกฎหมายลงไปด้วย การที่จำเลยระบุเลขของอนุมาตราในมาตราเดียวกันนั้นคลาดเคลื่อนไป ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นข้อนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใด แม้ในคำให้การจะอ้างมาตรา 165(2) แล้วต่อมาขอแก้เป็นมาตรา 165(1) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยก็อ้างมาตรา 165(1)ขึ้นฎีกาได้
สัญญามีข้อความว่า โจทก์ตกลงขายแบตเตอรี่ให้แก่ผู้แทนจำหน่าย (จำเลย) เพื่อนำไปขายอีกต่อหนึ่ง เมื่อจำเลยต้องการซื้อเมื่อใด แบบใด จำนวนเท่าใดต้องแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้า โดยมีใบสั่งซื้อหรือหนังสือสั่งซื้อเป็นหลักฐาน. ดังนี้ เป็นการซื้อขายแบตเตอรี่ระหว่างโจทก์จำเลยหาใช่สัญญาตัวแทนค้าต่างไม่ ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของคือแบตเตอรี่จากจำเลยจึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 165(1) เมื่อนับแต่วันส่งมอบของครั้งสุดท้ายก็ดี หรือนับแต่วันที่ตัวแทนจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ดีนับถึงวันฟ้องคดีก็เกิน 2 ปีแล้ว ฟ้องจึงขาดอายุความตามมาตรา 165(1) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องหนี้ซื้อขายแบตเตอรี่: สัญญาซื้อขายไม่ใช่สัญญาตัวแทน, หนังสือผัดหนี้ไม่ทำให้เกินอายุความ
เมื่อจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ไปทำสัญญาเป็นตัวแทนกับโจทก์ ส. ก็ไปเป็นพยานในสัญญา นอกจาก ส.จะเป็นภริยาจำเลยที่ 2 และเป็นมารดาจำเลยที่ 3 แล้ว ยังใช้ชื่อ ส. เป็นชื่อห้างจำเลยที่ 1และหัวกระดาษผัดหนี้ก็มีชื่อจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิด ส. ออกแสดงเป็นตัวแทนของตน
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าแบตเตอรี่ที่จำเลยสั่งซื้อ จำเลยให้การว่าฟ้องขาดอายุความแล้วเพราะไม่ฟ้องภายใน 2 ปี ข้อต่อสู้ของจำเลยอ้างเหตุชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสองแล้ว เพราะบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับว่าจะต้องระบุอ้างมาตราในกฎหมายลงไปด้วย การที่จำเลยระบุเลขของอนุมาตราในมาตราเดียวกันนั้นคลาดเคลื่อนไป ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นข้อนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใด แม้ในคำให้การจะอ้างมาตรา 165 (2) แล้วต่อมาขอแก้เป็นมาตรา 165 (1) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยก็อ้างมาตรา 165 (1)ขึ้นฎีกาได้
สัญญามีข้อความว่า โจทก์ตกลงขายแบตเตอรี่ให้แก่ผู้แทนจำหน่าย(จำเลย) เพื่อนำไปขายอีกต่อหนึ่ง เมื่อจำเลยต้องการซื้อเมื่อใด แบบใด จำนวนเท่าใดต้องแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้า โดยมีใบสั่งซื้อหรือหนังสือสั่งซื้อเป็นหลักฐาน. ดังนี้ เป็นการซื้อขายแบตเตอรี่ระหว่างโจทก์จำเลยหาใช่สัญญาตัวแทนค้าต่างไม่ ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของคือแบตเตอรี่จากจำเลยจึงมีกำหนดอายุความ2 ปี ตามมาตรา 165 (1) เมื่อนับแต่วันส่งมอบของครั้งสุดท้ายก็ดี หรือนับแต่วันที่ตัวแทนจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ดีนับถึงวันฟ้องคดีก็เกิน 2 ปีแล้ว ฟ้องจึงขาดอายุความตามมาตรา 165 (1) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2275/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ใบอนุญาตสถานบริการเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่อาจโอนหรือขอแทนกันได้ สัญญาโอนจึงเป็นโมฆะ
ใบอนุญาตให้ตั้งสถานบริการตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 เป็นใบอนุญาตเฉพาะตัวของผู้รับอนุญาต จะขออนุญาตแทนกันไม่ได้ พระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้มีบทบัญญัติให้โอนใบอนุญาตแก่กันได้ แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ว่าไม่ประสงค์ให้โอนใบอนุญาตแก่กัน แม้ใบอนุญาตดังกล่าวจะเป็นทรัพย์สิน ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้รับอนุญาตโจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนใบอนุญาตให้แก่โจทก์ตามสัญญา เพราะวัตถุประสงค์แห่งสัญญาฝ่าฝืนต่อกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2275/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ใบอนุญาตสถานบริการเป็นสิทธิเฉพาะตัว โอนไม่ได้ สัญญาซื้อขายจึงโมฆะ
ใบอนุญาตให้ตั้งสถานบริการตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 เป็นใบอนุญาตเฉพาะตัวของผู้รับอนุญาต จะขออนุญาตแทนกันไม่ได้พระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้มีบทบัญญัติให้โอนใบอนุญาตแก่กันได้ แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ว่าไม่ประสงค์ให้โอนใบอนุญาตแก่กันแม้ใบอนุญาตดังกล่าวจะเป็นทรัพย์สิน ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้รับอนุญาตโจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนใบอนุญาตให้แก่โจทก์ตามสัญญา เพราะวัตถุประสงค์แห่งสัญญาฝ่าฝืนต่อกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2086/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินตามเนื้อที่จริง โดยหักเนื้อที่ดินที่อุทิศเป็นถนนสาธารณะประโยชน์ จำเลยต้องคืนเงินส่วนต่าง
สัญญาซื้อขายระบุว่าโจทก์ยอมรับซื้อที่ดินราคาไร่ละ9,000 บาทโจทก์จำเลยจะขอให้เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดสอบเขตหากที่ดินมีเนื้อที่น้อยกว่าเนื้อที่ตามโฉนด จำเลยจะคืนเงินให้โจทก์ตามส่วน หากที่ดินมีเนื้อที่มากกว่าเนื้อที่ตามโฉนดโจทก์จะจ่ายเงินเพิ่มให้จำเลยตามส่วน ข้อตกลงดังกล่าวมิใช่เป็นการขายแบบเหมายกโฉนดแต่เป็นการขายตามเนื้อที่ที่แท้จริง
ที่ดินในโฉนดส่วนหนึ่งจำเลยยอมให้ผู้ใหญ่บ้านใช้ทำเป็นถนนและประชาชนใช้สอยตลอดมาโดยจำเลยมิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิ แสดงว่าจำเลยอุทิศที่ดินส่วนที่เป็นถนนให้เป็นทางสาธารณะที่ดินส่วนนั้นจึงเป็นถนนสาธารณะประโยชน์โดยจำเลยไม่จำต้องไปจดทะเบียนยกให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยไม่มีสิทธินำที่ดินส่วนนั้นมาขายให้โจทก์ เมื่อหักที่ดินส่วนที่เป็นถนนสาธารณะประโยชน์ออกแล้วเหลือที่ดินน้อยกว่าเนื้อที่ตามโฉนดจำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์ตามส่วน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2086/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินตามเนื้อที่จริง การอุทิศที่ดินเป็นถนนสาธารณะ และสิทธิในการเรียกร้องเงินคืนเมื่อเนื้อที่ดินไม่ตรงตามสัญญา
สัญญาซื้อขายระบุว่าโจทก์ยอมรับซื้อที่ดินราคาไร่ละ 9,000 บาท โจทก์จำเลยจะขอให้เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดสอบเขต หากที่ดินมีเนื้อที่น้อยกว่าเนื้อที่ตามโฉนด จำเลยจะคืนเงินให้โจทก์ตามส่วน หากที่ดินมีเนื้อที่มากกว่าเนื้อที่ตามโฉนด โจทก์จะจ่ายเงินเพิ่มให้จำเลยตามส่วน ข้อตกลงดังกล่าวมิใช่เป็นการขายแบบเหมายกโฉนดแต่เป็นการขายตามเนื้อที่ที่แท้จริง
ที่ดินในโฉนดส่วนหนึ่งจำเลยยอมให้ผู้ใหญ่บ้านใช้ทำเป็นถนนและประชาชนใช้สอยตลอดมาโดยจำเลยมิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิ แสดงว่าจำเลยอุทิศที่ดินส่วนที่เป็นถนนให้เป็นทางสาธารณะ ที่ดินส่วนนั้นจึงเป็นถนนสาธารณะประโยชน์โดยจำเลยไม่จำต้องไปจดทะเบียนยกให้ต่อพนักงานเจ้าหน้า ที่จำเลยไม่มีสิทธินำที่ดินส่วนนั้นมาขายให้โจทก์ เมื่อหักที่ดินส่วนที่เป็นถนนสาธารณประโยชน์ออกแล้วเหลือที่ดินน้อยกว่าเนื้อที่ตามโฉนดจำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์ตามส่วน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องนอกคำฟ้อง: ศาลตัดสินเกินขอบเขตคำฟ้องเดิม
คำฟ้องของโจทก์แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์ ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำแทนจำเลยที่ 2 และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 อันจะพอถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์ แม้ศาลล่างทั้งสองรับวินิจฉัยและตัดสินในปัญหานี้มา ก็เป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์อันเป็นการต้องห้ามตาม มาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่าในการซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์จำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นเรื่องนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ ศาลฎีการับฟัง เช่นนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตัดสินนอกฟ้อง: ศาลฎีกาตัดสินว่าการวินิจฉัยประเด็นนอกคำฟ้องของศาลชั้นต้นและอุทธรณ์เป็นการผิดพลาด
คำฟ้องของโจทก์แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์ ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำแทนจำเลยที่ 2 และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 อันจะพอถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์ แม้ศาลล่างทั้งสองรับวินิจฉัยและตัดสินในปัญหานี้มา ก็เป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์อันเป็นการต้องห้ามตาม มาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่าในการซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์จำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นเรื่องนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ศาลฎีการับฟัง เช่นนั้นไม่ได้
of 71