คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 453

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 703 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1649/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบ - ฟ้องแย้ง - ที่ดินมือเปล่า: ศาลต้องแยกพิจารณาฟ้องแย้งเสมือนคดีใหม่ และพิจารณาหน้าที่นำสืบของแต่ละฝ่าย
เมื่อโจทก์ฟ้องและจำเลยทั้งสามให้การแล้ว เฉพาะจำเลยที่ 1ยังฟ้องแย้งโจทก์ และมีคำขอให้บังคับโจทก์ตามฟ้องแย้งด้วยแต่คำท้าของคู่ความที่ว่า ถ้าฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบก่อน ให้ฝ่ายนั้นแพ้คดีนั้น มิได้มีข้อจำกัดไว้ว่าให้วินิจฉัยจากฟ้องโจทก์กับคำให้การจำเลยอย่างเดียว จึงต้องแยกวินิจฉัยตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1กับคำให้การแก้ฟ้องแย้งด้วย เสมือนเป็นคนละสำนวนกับฟ้องเดิมของโจทก์
ฟ้องของโจทก์อ้างว่า ที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1เช่าทำแล้วไม่ชำระค่าเช่า โจทก์จะเข้าทำ จำเลยทั้งสามกลับบุกรุกเข้าทำทั้งแปลง เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จึงฟ้องเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหายจำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยเช่านาพิพาทจากโจทก์เมื่อ 12 ปีมานี้ โจทก์ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 แล้วมอบที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 ครอบครองตลอดมาเกินกว่า 10 ปีจนบัดนี้ ไม่ใช่ที่ของโจทก์และจำเลยทั้งสามไม่เคยบุกรุกที่ดินโจทก์ ดังนี้ เป็นคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยตลอด และที่นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ส.ค.1 ของโจทก์ไม่ใช่หนังสือสำคัญสำหรับที่พิพาทนี้ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบก่อนว่าโจทก์ให้จำเลยที่ 1 เช่าทำนาพิพาทและจำเลยทั้งสามบุกรุกที่ของโจทก์จริงหรือไม่ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบ โจทก์ก็ต้องแพ้คดีตามคำท้า คือยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสาม
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ว่าโจทก์ขายนาพิพาทให้จำเลยครอบครองตลอดมากว่า 10 ปี ไม่เคยเช่าจากโจทก์นั้น โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้งอยู่ว่า ไม่เคยขายให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทำนาอยู่โดยเช่าจากโจทก์ ดังนี้ แม้จะเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยที่ 1 ก็ยังมีหน้าที่ต้องนำสืบก่อนให้สมฟ้องแย้งจึงจะบังคับห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้ตามคำขอท้ายฟ้องแย้ง ส่วนคำขอบังคับให้โจทก์โอนที่พิพาทต่อเจ้าพนักงานอำเภอนั้น บังคับไม่ได้ เพราะเป็นที่ดินมือเปล่า ศาลได้แต่พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิครอบครองที่พิพาทเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1ไม่นำสืบ ก็ต้องยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1567/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถยนต์เช่าซื้อ - เจ้าของมิได้รู้เห็นการกระทำผิด - สิทธิเรียกร้องคืน
รถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องได้ให้ ต. เช่าซื้อไป และ ต.ยังชำระเงินราคาค่าเช่าซื้อให้ผู้ร้องไม่ครบ รถยนต์ของกลางจึงยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่ ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1567/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถยนต์เช่าซื้อ - เจ้าของรถมีสิทธิขอคืนได้หากไม่รู้เห็นการกระทำผิด
รถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องได้ให้ ต. เช่าซื้อไป และ ต.ยังชำระเงินราคาค่าเช่าซื้อให้ผู้ร้องไม่ครบ รถยนต์ของกลางจึงยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่ ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1534/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์เพื่อขายหากำไร ไม่ใช่การยักยอกทรัพย์ แม้ผิดสัญญาซื้อขาย
การที่จำเลยรับทรัพย์ไปจากโจทก์ร่วมก็เพื่อหวังจะเอาไปขายหากำไรอีกต่อหนึ่ง จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องทำการขายตามคำสั่งของโจทก์ร่วมจำเลยจะขายเกินราคาหรือต่ำกว่าราคาที่โจทก์ร่วมกำหนดไว้ก็ทำได้ เพียงแต่ว่าเมื่อขายได้แล้ว ต้องส่งราคาแก่โจทก์ร่วมตามที่กำหนดกันไว้เท่านั้น การครอบครองทรัพย์ของจำเลยในลักษณะเช่นนี้จึงมิใช่ครอบครองทรัพย์ในฐานตัวแทนโจทก์ร่วม หากแต่ครอบครองโดยอาศัยอำนาจแห่งสัญญาที่โจทก์ร่วมกับจำเลยมีนิติสัมพันธ์ต่อกันเมื่อจำเลยบิดพลิ้วไม่ส่งเงินที่ขาย ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นทั้งโจทก์ก็สืบไม่ได้ว่า จำเลยได้เบียดบังตัวทรัพย์ไว้โดยทุจริต จึงหาใช่เป็นการผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ตามฟ้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1534/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์เพื่อขายต่อ ไม่ใช่การยักยอกทรัพย์ หากผิดสัญญาเป็นเรื่องแพ่ง
การที่จำเลยรับทรัพย์ไปจากโจทก์ร่วมก็เพื่อหวังจะเอาไปขายหากำไรอีกต่อหนึ่ง จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องทำการขายตามคำสั่งของโจทก์ร่วมจำเลยจะขายเกินราคาหรือต่ำกว่าราคาที่โจทก์ร่วมกำหนดไว้ก็ทำได้เพียงแต่ว่าเมื่อขายได้แล้ว ต้องส่งราคาแก่โจทก์ร่วมตามที่กำหนดกันไว้เท่านั้น การครอบครองทรัพย์ของจำเลยในลักษณะเช่นนี้จึงมิใช่ครอบครองทรัพย์ในฐานตัวแทนโจทก์ร่วม หากแต่ครอบครองโดยอาศัยอำนาจแห่งสัญญาที่โจทก์ร่วมกับจำเลยมีนิติสัมพันธ์ต่อกันเมื่อจำเลยบิดพลิ้วไม่ส่งเงินที่ขาย ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นทั้งโจทก์ก็สืบไม่ได้ว่าจำเลยได้เบียดบังตัวทรัพย์ไว้โดยทุจริต จึงหาใช่เป็นการผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ตามฟ้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายผลลำไยไม่ผูกพันผู้รับโอนที่ดิน แม้จะทราบข้อตกลงและเคยยอมให้เก็บผลลำไย
ย. ทำสัญญาขายผลลำไยกับโจทก์มีกำหนด 10 ปี โดยให้โจทก์เป็นผู้เก็บผลลำไยเองจากต้นในสวนของ บ. และตลอดเวลาที่โจทก์เก็บผลลำไยยังไม่ครบกำหนด บ. จะไม่ขายที่ดินสวนลำไยแก่ผู้ใด โจทก์เข้าเก็บผลลำไยตามสัญญาได้ 3 ปี แล้วต่อมา บ. จดทะเบียนโอนขายที่ดินสวนลำไยให้แก่จำเลย ดังนี้ สัญญาซื้อขายผลลำไยระหว่างโจทก์และ บ. เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิซึ่งมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น จะใช้ยันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ ฉะนั้น ถึงแม้ว่าจำเลยจะทราบถึงข้อตกลงในสัญญา และต่อมาจำเลยยังยอมให้โจทก์เข้าเก็บผลลำไยอีก 2 ปีก็ตาม แต่เมื่อจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาในตอนหลัง โจทก์ก็หามีสิทธิที่จะนำเอาข้อตกลงนั้นมาใช้บังคับแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินไม่ เพราะไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิของโจทก์ไว้เป็นพิเศษในสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับ บ. นั้น ตกติดและมีผลบังคับจำเลยผู้รับโอนด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายผลลำไยไม่ผูกพันผู้รับโอนที่ดิน แม้ทราบสัญญาและเคยยอมให้เก็บผลลำไย
ย. ทำสัญญาขายผลลำไยกับโจทก์มีกำหนด 10 ปี โดยให้โจทก์เป็นผู้เก็บผลลำไยเองจากต้นในสวนของ บ. และตลอดเวลาที่โจทก์เก็บผลลำไยยังไม่ครบกำหนด บ. จะไม่ขายที่ดินสวนลำไยแก่ผู้ใดโจทก์เข้าเก็บผลลำไยตามสัญญาได้ 3 ปี แล้วต่อมา บ. จดทะเบียนโอนขายที่ดินสวนลำไยให้แก่จำเลย ดังนี้ สัญญาซื้อขายผลลำไยระหว่างโจทก์และ บ. เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิซึ่งมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น จะใช้ยันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ ฉะนั้นถึงแม้ว่าจำเลยจะทราบถึงข้อตกลงในสัญญา และต่อมาจำเลยยังยอมให้โจทก์เข้าเก็บผลลำไยอีก 2 ปีก็ตาม แต่เมื่อจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาในตอนหลัง โจทก์ก็หามีสิทธิที่จะนำเอาข้อตกลงนั้นมาใช้บังคับแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินไม่ เพราะไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิของโจทก์ไว้เป็นพิเศษให้สัญญาที่โจทก์ทำไว้กับ บ. นั้น ตกติดและมีผลบังคับจำเลยผู้รับโอนด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายปอฟอกที่มีข้อตกลงแบ่งกำไร ไม่ถือเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วน หากผู้ขายไม่รับผิดชอบขาดทุน
เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.4 เป็นเรื่องโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายปอฟอกกัน แม้เอกสารหมาย จ.1 มีข้อความตอนหนึ่งว่า 'ปอจำนวนนี้ ข้าฯ จะส่งมาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2509 เมื่อส่งครบจำนวนแล้วคิดตามราคาท้องตลาดเสร็จแล้วหักทุนออก เหลือเท่าไรจึงแบ่งฝ่ายละครึ่งของผลกำไร' ก็ตาม ก็เป็นข้อตกลงอีกอันหนึ่งว่า ภายหลังที่ขายปอให้กันแล้ว โจทก์ (ผู้ซื้อ) จะต้องแบ่งกำไรให้จำเลย(ผู้ขาย) ด้วยเท่านั้นหาทำให้สัญญาซื้อขายกลายเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนไปไม่ เพราะจำเลยยอมรับแต่ผลกำไรฝ่ายเดียว เมื่อขาดทุนไม่ต้องออกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายปอฟอกกับการแบ่งกำไร ไม่เป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วน หากผู้ขายไม่รับความเสี่ยงขาดทุน
เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.4 เป็นเรื่องโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายปอฟอกกัน แม้เอกสารหมาย จ.1 มีข้อความตอนหนึ่งว่า "ปอจำนวนนี้ ข้าฯ จะส่งมาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2509 เมื่อส่งครบจำนวนแล้ว คิดตามราคาท้องตลาดเสร็จแล้วหักทุนออก เหลือเท่าไรจึงแบ่งฝ่ายละครึ่งของผลกำไร" ก็ตาม ก็เป็นข้อตกลงอีกอันหนึ่งว่า ภายหลังที่ขายปอให้กันแล้ว โจทก์ (ผู้ซื้อ) จะต้องแบ่งกำไรให้จำเลย (ผู้ขาย) ด้วยเท่านั้น หาทำให้สัญญาซื้อขายกลายเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนไปไม่ เพราะจำเลยยอมรับแต่ผลกำไรฝ่ายเดียว เมื่อขาดทุนไม่ต้องออกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายเหมา การโอนกรรมสิทธิ์เมื่อทำสัญญา และอายุความของสิทธิเรียกร้อง
การซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการซื้อเหมาจำนวนทรัพย์ที่จะซื้อขายมีจำนวนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจนับอย่างใดอีก ฉะนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายกันย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกัน ส่วนเรื่องการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์
การที่รถยนต์ที่ซื้อขายถูกยึดและเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างการยึด โดยผู้รับรักษาปล่อยให้ตากแดดฝนและไม่ดูแลรักษาให้ดี และรถกลายสภาพเป็นเศษเหล็กไปนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับรักษาทรัพย์ จะปรับว่าเป็นความผิดของผู้ขายไม่ได้
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายจะต้องจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเสร็จสิ้นก่อน จึงจะมีสิทธิรับเงินงวดที่ 2 แต่ปรากฏว่าเมื่อผู้ซื้อทราบว่าผู้ขายเป็นหนี้ ก. กลัว ก. จะยึดเอารถไป ผู้ซื้อจึงได้จัดการขายไปอย่างรถไม่มีทะเบียน ส่วนรถที่เหลือก็มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนกันอย่างรถยนต์ธรรมดาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการโอนทะเบียนต่อไป และไม่ใช่ความผิดของผู้ขาย ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ยังค้างอยู่ให้แก่ผู้ขาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรค 2 ประกอบด้วยอนุมาตรา (1) เป็นเรื่องของอายุความที่จะใช้บังคับแก่บุคคลที่เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าขายสินค้าพ่อค้าตามความหมายของมาตรา 165 หมายถึง บุคคลที่ประกอบกิจการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระ โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยค้าไม่แปรรูปและน้ำตาล ทรัพย์ที่ทำการซื้อขายกันในคดีนี้ไม่ได้เป็นสินค้าที่โจทก์ทำการค้าและไม่ใช่วัตถุประสงค์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย จะถือว่าโจทก์เป็นพ่อค้ารถยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้ การที่โจทก์ขายรถยนต์ให้แก่จำเลย ต้องถือว่าโจทก์ได้ขายไปในฐานะอย่างเจ้าของทรัพย์ธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะเป็นพ่อค้าขายสินค้านั้น ๆ จะนำเอาอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรค 2 มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องนำเอาอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีมาใช้บังคับ
of 71