พบผลลัพธ์ทั้งหมด 71 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์พิพาทเกินสองแสนบาทฎีกาไม่รับวินิจฉัย: การแบ่งแยกค่าเสียหายในคดีละเมิด
แม้ค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดเป็นค่าปลงศพจำนวน 50,000 บาท จะเป็นหนี้ที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิร่วมกันไม่อาจแบ่งแยกได้ แต่ในส่วนค่าขาดไร้อุปการะที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ทั้งสองรวมกันจำนวน 200,000 บาท นั้น เป็นหนี้ที่สามารถแบ่งแยกเป็นส่วนของโจทก์แต่ละคนได้ทุนทรัพย์พิพาทชั้นฎีกาจึงต้องถือตามจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยทั้งสอง เมื่อแบ่งแยกค่าเสียหายในส่วนค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ทั้งสองคนละครึ่งเป็นเงินคนละ 100,000 บาท และนำไปรวมกันค่าเสียหายที่เป็นค่าปลงศพจำนวน 50,000 บาทแล้ว ทุนทรัพย์พิพาทชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสองแต่ละคนจึงไม่เกินคนละสองแสนบาท ย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1820/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของห้างหุ้นส่วนจำกัดเมื่อมีข้อขัดแย้งภายในและการจำกัดอำนาจผู้จัดการ
ตามคำร้องขอของผู้ร้องอ้างว่า ข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. กำหนดให้ พ. หรือ ณ. คนใดคนหนึ่งต้องลงลายมือชื่อร่วมกับผู้ร้องและประทับตราของห้างจึงจะมีอำนาจกระทำการแทนห้างได้ แต่ พ. และ ณ. ขัดขวางและกระทำการเป็นปฏิปักษ์ไม่ยอมลงลายมือชื่อร่วมกับผู้ร้องในหนังสือมอบอำนาจเพื่อให้ตัวแทนของห้างไปดำเนินการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่ผู้ที่ฉ้อโกงห้าง หากให้ห้างอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปจะทำให้ผู้เป็นหุ้นส่วนเสียหาย และข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างไม่มีวิธีการแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว ซึ่งตามคำร้องขอเช่นนี้เป็นกรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของห้างโดยให้ผู้ร้องแต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อและประทับตราของห้าง มีอำนาจกระทำการแทนห้างเพื่อผู้ร้องจะได้กระทำกิจการต่างๆ ในนามของห้างได้ อันเป็นการแก้ไขอุปสรรคขัดข้องของห้างมิให้เกิดความเสียหายที่เกิดจากหุ้นส่วนผู้จัดการคนอื่น แม้ข้อเท็จจริงตามคำร้องขอจะไม่ใช่กรณีตำแหน่งผู้แทนของห้างว่างลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 73 บัญญัติไว้ แต่เมื่อไม่มีบทกฎหมายยกมาปรับแก่คดีนี้ได้ทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ในกรณีนี้จึงต้องอาศัยเทียบมาตรา 73 ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งตามมาตรา 4 วรรคสอง มาวินิจฉัยคดี และหากได้ความจริงตามคำร้องขอ ศาลก็สามารถตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนชั่วคราวตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1820/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งผู้แทนชั่วคราวของห้างหุ้นส่วนเมื่อผู้จัดการขัดขวางการดำเนินคดี
ผู้ร้องซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนชั่วคราวของห้าง โดยให้ผู้ร้องแต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อและประทับตราของห้างมีอำนาจกระทำการแทนห้าง เพื่อผู้ร้องจะได้กระทำกิจการต่างๆ ในนามห้างได้ อันเป็นการแก้ไขอุปสรรคข้อขัดข้องของห้างมิให้เกิดความเสียหายเนื่องจากหุ้นส่วนผู้จัดการคนอื่นไม่ยอมลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจร่วมกับผู้ร้องเพื่อดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายจากการที่ผู้อื่นฉ้อโกงห้างทำให้ห้างเสียหาย แม้คำร้องขอของผู้ร้องจะไม่ใช่กรณีตำแหน่งผู้แทนของห้างว่างลงตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 73 บัญญัติไว้ แต่ก็ไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นในกรณีนี้ จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาวินิจฉัยคดีตามมาตรา 4 วรรคสอง และมาตรา 73 เป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งที่จะนำมาวินิจฉัยคดีได้ดังนั้นหากได้ความจริงตามคำร้องขอศาลก็สามารถตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนชั่วคราวตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1628/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและประเด็นการปรับบทลงโทษมาตรา 340 ตรี
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดต้องตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคท้าย 340 ตรี แต่มาตรา 340 ตรี เป็นเพียงบทกำหนดโทษ ไม่ใช่บทเพิ่มโทษ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ต้องได้รับโทษประหารชีวิตตามมาตรา 340 วรรคท้าย กรณีไม่มีทางที่จะวางโทษกึ่งหนึ่งตามที่มาตรา 340 ตรี บัญญัติไว้ จึงนำมาตรา 340 ตรี มาปรับด้วยไม่ได้ จำเลยคงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคท้าย เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอาญาต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ห้ามใช้ มาตรา 223 ทวิ มาใช้โดยอนุโลม
การใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีอาญาต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค 4 ลักษณะ 1 โดยมาตรา 193 วรรคหนึ่ง ซึ่งได้บัญญัติเรื่องการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ กรณีเช่นนี้จึงนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอาญาต้องเป็นไปตาม ป.วิ.อ. ไม่สามารถใช้ ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ โดยอนุโลมได้
ในคดีอาญา การใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. ภาค 4 ลักษณะ 1 โดยมาตรา 193 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติเรื่องการอุทธรณ์ไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ ดังนั้น จึงนำ ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจนำคดีเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นอำนาจประธานศาลฎีกา ไม่ใช่สิทธิคู่ความ
การจะนำปัญหาใดในคดีเรื่องใดเข้าวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เป็นอำนาจของประธานศาลฎีกาโดยเฉพาะ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิคู่ความที่จะขอให้นำคดีเข้าพิพากษาโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 803-804/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเชิด: จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาที่ตัวแทนทำไป แม้ไม่มีหลักฐานการตั้งตัวแทน
ตัวแทนเชิกที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานการตั้งตัวแทนไว้ชัดแจ้งเหมือนกรณีสัญญาตั้งตัวแทนตามปกติธรรมดาทั่วไป
จำเลยที่ 1 รู้และยินยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำที่ดินจัดสรรออกขายแก่บุคคลภายนอกซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนของตนหรือรู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เชิดตัวเองออกเป็นตัวแทนของตน จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในกิจการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำไปเสมือนว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำไปเสมือนว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนของตน
จำเลยที่ 1 รู้และยินยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำที่ดินจัดสรรออกขายแก่บุคคลภายนอกซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนของตนหรือรู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เชิดตัวเองออกเป็นตัวแทนของตน จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในกิจการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำไปเสมือนว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำไปเสมือนว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 767/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารต้องพิสูจน์ความแท้จริงและถูกต้อง หากไม่มีกฎหมายยกเว้น และจำเลยมีภาระพิสูจน์หากฟ้องว่าโจทก์ปกปิดข้อมูล
พยานเอกสารที่ส่งมาตามคำสั่งเรียกของศาลนั้น คงรับฟังได้แต่เพียงว่าผู้จัดส่งเป็นผู้ครอบครองเอกสารนั้นไว้ แต่การที่จะรับฟังได้ว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริงและถูกต้องนั้น ผู้อ้างเอกสารจะต้องนำสืบพิสูจน์ต่อศาลอีกชั้นหนึ่ง เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าไม่ต้องพิสูจน์ รายงานแพทย์ที่โรงพยาบาลที่จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกมาจากโรงพยาบาลนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไม่ต้องพิสูจน์ความแท้จริงและความถูกต้อง เมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าโจทก์มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีในขณะทำสัญญาประกันชีวิตและไม่เคยแจ้งแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง จำเลยมีภาระในการพิสูจน์ว่ารายงานแพทย์ดังกล่าวที่ระบุว่าโจทก์มีประวัติเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงนั้นแท้จริงและถูกต้อง เมื่อจำเลยอ้างส่งรายงานแพทย์ลอย ๆ โดยมิได้นำแพทย์ที่ซักประวัติโจทก์หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมาเบิกความยืนยันให้เห็นว่าเป็นรายงานแพทย์ที่แท้จริงและถูกต้อง ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ให้รายละเอียดกับแพทย์ผู้ตรวจรักษาตามรายงานแพทย์เอกสารหมาย ป.ล. 3 ไว้จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 767/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานเอกสารต้องพิสูจน์ความแท้จริง แม้ศาลจะได้รับเอกสารมาแล้ว จำเลยต้องพิสูจน์รายงานแพทย์ที่อ้างถึง
พยานเอกสารที่ส่งมาตามคำสั่งเรียกของศาลนั้น คงรับฟังได้แต่เพียงว่าผู้จัดส่งเป็นผู้ครอบครองเอกสารนั้นไว้ แต่การที่จะรับฟังได้ว่า เอกสารนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริงและถูกต้องนั้น ผู้อ้างเอกสารจะต้องนำสืบพิสูจน์ต่อศาลอีกชั้นหนึ่ง เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าไม่ต้องพิสูจน์ รายงานแพทย์ที่โรงพยาบาลที่จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกมาจากโรงพยาบาลนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไม่ต้องพิสูจน์ความแท้จริงและความถูกต้อง เมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าโจทก์มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีในขณะทำสัญญาประกันชีวิตและไม่เคยแจ้งแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง จำเลยมีภาระในการพิสูจน์ว่า รายงานแพทย์ดังกล่าวที่ระบุว่า โจทก์มีประวัติเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง นั้นแท้จริงและถูกต้อง เมื่อจำเลยอ้างส่งรายงานแพทย์ลอยๆ โดยมิได้นำแพทย์ที่ซักประวัติโจทก์หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมาเบิกความยืนยันให้เห็นว่าเป็นรายงานแพทย์ที่แท้จริงและถูกต้อง ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ให้รายละเอียดกับแพทย์ผู้ตรวจรักษาตามรายงานแพทย์เอกสารหมาย ป.ล.3 ไว้จริง