คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วสันต์ ตรีสุวรรณ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 319 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1566/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานทำไม้และยึดครองที่ดินในเขตป่าสงวนฯ ศาลยืนโทษฐานความผิดหลายกรรมต่างกัน
ความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11,73 วรรคสอง และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14,31 วรรคสอง กับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยไม้ดังกล่าวไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายและพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง ต่างเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง แม้จำเลยกระทำความผิดในวันเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน สำหรับความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14,31 เป็นความผิดสำเร็จทันทีที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นความผิดต่างกรรมกันกับความผิดสองกรรมดังกล่าวมาข้างต้น จึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว จึงต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยทำไร่และทำคอกเลี้ยงโค กระบือ เนื้อที่จำนวน 5 ไร่ อันเป็นการทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯมาตรา 14,31 วรรคหนึ่ง เท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นมาตรา 31 วรรคหนึ่ง เป็นการไม่ชัดเจน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลความไม่ชอบด้วยกฎหมายและโอกาสชนะคดี มิฉะนั้นศาลมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งรับคำร้องได้
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่า จำเลยไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ตามฟ้อง การส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้อง หมายนัดและคำบังคับแก่จำเลยที่บ้านเลขที่ตามฟ้อง จึงไม่ชอบ จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา หากจำเลยได้ทราบถึงการฟ้องคดีแต่ต้น จำเลยย่อมต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีเนื่องจากเป็นคดีมีทุนทรัพย์สูง และจำเลยมีหลักฐานเอกสารที่จะเสนอต่อศาลเพื่อหักล้างข้อกล่าวอ้างของโจทก์อันอาจเป็นเหตุให้ศาลพิพากษาคดีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และเหตุที่จำเลยยื่นคำร้องล่าช้าเพราะจำเลยเพิ่งทราบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลย คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวอ้างแต่เหตุที่จำเลยขาดนัดและเหตุแห่งการที่ยื่นคำขอล่าช้าเท่านั้นจำเลยไม่ได้กล่าวอ้างหรือแสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยแพ้คดี ไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใด อย่างไร และไม่ได้แสดงเหตุผลว่าหากมีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่ จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไร จำเลยไม่ได้กล่าวว่าพยานหลักฐานใดของโจทก์ที่รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยต้องรับผิดตามฟ้อง และมิได้กล่าวถึงพยานหลักฐานของจำเลยว่ามีอย่างใดบ้างที่จะทำให้จำเลยชนะคดีได้ จึงไม่ชอบด้วยป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคท้าย
แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยและได้ทำการไต่สวนพยานจำเลยไปบ้างแล้ว แต่เมื่อต่อมาได้ปรากฏต่อศาลชั้นต้นเองว่า การสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยนั้น มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคท้าย ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งเดิมและสั่งไม่รับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเพื่อให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในการพิจารณาคดีดังที่บทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 27 ให้อำนาจไว้
การสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งได้เมื่อเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง แม้โจทก์จะมิได้คัดค้านว่าคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยบรรยายไม่ครบถ้วนตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 208ก็หาเป็นการลบล้างอำนาจของศาลในเรื่องนี้ไม่ การที่ศาลชั้นต้นอาศัยอำนาจตามป.วิ.พ.มาตรา 27 สั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่ให้รับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยและสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวของจำเลย จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องระบุเหตุขาดนัดและข้อคัดค้านคำพิพากษาชัดเจน ศาลมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งรับคำร้องที่ไม่ถูกต้อง
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวอ้างแต่เหตุที่จำเลยขาดนัดและเหตุแห่งการที่ยื่นคำขอล่าช้า ไม่ได้กล่าวอ้างหรือแสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยแพ้คดี ไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไรและไม่ได้แสดงเหตุผลว่าหากมีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่ จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไรเป็นคำร้องที่มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องและไต่สวนพยานจำเลยไปบ้างแล้วก็มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งเดิมและสั่งไม่รับคำร้องเพื่อให้ถูกต้องได้เพราะมีอำนาจสั่งได้เมื่อเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 995/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนายิงทำร้ายร่างกาย แม้ไม่ถูกตัว แต่ก่อให้เกิดอันตราย ถือความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปที่โหลใส่พริกน้ำปลาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะรับประทานอาหารใกล้กับที่ผู้เสียหายนั่งอยู่จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เสียหายได้ กรณีถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ แม้กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย และไม่ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงไปจะถูกขอบโต๊ะทำให้หัวกระสุนแตกกระจายตามที่ผู้เสียหายเบิกความ หรือไปถูกโหลใส่พริกน้ำปลาแตกตามที่พยานให้การในชั้นสอบสวน แต่เมื่อปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีรอยถากที่หน้าอกขวา ต้นขาขวายาว 1.5 เซนติเมตร และรอยถากที่แขนซ้ายลึกแค่ผิวหนัง จึงถือได้ว่าการได้รับอันตรายแก่กายของผู้เสียหายเกิดจากการกระทำของจำเลย และจากคำเบิกความของแพทย์ว่าบาดแผลของผู้เสียหายใช้เวลารักษาประมาณ 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยประกอบแล้ว กรณีถือได้ว่า จำเลยกระทำให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตาม ป.อ. มาตรา 295

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดการบังคับคดี: สิทธิในการบังคับคดีไม่กระทบจากคดีอื่น และข้อเสนอต่อเจ้าของที่ดินไม่ผูกมัด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากสถานที่เช่าคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย การที่จำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์และจำเลยต่างถูกบริษัท ต. เจ้าของที่พิพาทฟ้องขับไล่ออกจากที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลย การบังคับคดีนี้ย่อมไร้ผล จึงเป็นเรื่องขอให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของศาลที่จะสั่งตามสมควรแก่รูปคดี
จำเลยได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในเชิงคดีที่จะประวิงการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้เนิ่นช้าตลอดมา โดยเฉพาะในคดีที่บริษัท ต. ฟ้องขับไล่โจทก์ เป็นเรื่องระหว่างบริษัท ต. กับโจทก์ ไม่กระทบสิทธิในการบังคับคดีของโจทก์ในคดีนี้ ส่วนการที่จำเลยได้ยื่นข้อเสนอขอทำสัญญาเช่าที่พิพาท และเสนอผลประโยชน์แก่บริษัท ต. เป็นข้ออ้างของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ปรากฏว่าบริษัท ต. ได้ตกลงยินยอมด้วย และแม้ข้อเสนอหรือข้อตกลงกับบริษัท ต. หากจะพึงมี ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จำเลยไม่อาจยกขึ้นใช้ยันโจทก์ในชั้นนี้ได้ ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่องดการบังคับคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีเช่า: สิทธิโจทก์ไม่ได้รับผลกระทบจากคดีอื่นระหว่างจำเลยกับเจ้าของที่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากสถานที่เช่าคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย การที่จำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์และจำเลยต่างถูกบริษัทต.เจ้าของที่พิพาทฟ้องขับไล่ออกจากที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลย การบังคับคดีนี้ย่อมไร้ผล จึงเป็นเรื่องขอให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของศาลที่จะสั่งตามสมควรแก่รูปคดี
จำเลยได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในเชิงคดีที่จะประวิงการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้เนิ่นช้าตลอดมา โดยเฉพาะในคดีที่บริษัท ต.ฟ้องขับไล่โจทก์ เป็นเรื่องระหว่างบริษัท ต.กับโจทก์ ไม่กระทบสิทธิในการบังคับคดีของโจทก์ในคดีนี้ ส่วนการที่จำเลยได้ยื่นข้อเสนอขอทำสัญญาเช่าที่พิพาท และเสนอผลประโยชน์แก่บริษัท ต.เป็นข้ออ้างของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ปรากฏว่าบริษัท ต.ได้ตกลงยินยอมด้วย และแม้ข้อเสนอหรือข้อตกลงกับบริษัท ต.หากจะพึงมี ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จำเลยไม่อาจยกขึ้นใช้ยันโจทก์ในชั้นนี้ได้ ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่องดการบังคับคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 585/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตกลงเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญา และการผิดสัญญาซื้อขาย ทำให้จำเลยมีสิทธิริบมัดจำ
โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันภายหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้ทราบว่าวันที่ 31 ธันวาคม 2538 ซึ่งเป็นวันนัดโอนห้องชุดพิพาทที่ตกลงนัดกันไว้เดิมเป็นวันหยุดราชการ กรณีเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้ถือเอาวันที่ 31 ธันวาคม 2538 ตามที่ตกลงกำหนดในหนังสือสัญญาจะซื้อขายกันไว้เดิมเป็นวันจดทะเบียนโอนห้องชุดพิพาทต่อไปแล้ว หากแต่โจทก์และจำเลยทั้งสองมีข้อตกลงกันใหม่โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายไปติดต่อกรมที่ดินก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2538 แล้วแจ้งให้โจทก์ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน 7 วัน เมื่อโจทก์รับว่าจำเลยทั้งสองได้ใช้โทรศัพท์ติดต่อมายังโจทก์ในระหว่างวันที่ 4 - 28 ธันวาคม 2538 อยู่หลายครั้ง เพื่อนัดวันโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาท เท่ากับโจทก์ยินยอมให้จำเลยทั้งสองแจ้งวันนัดโอนทางโทรศัพท์โดยมิได้ถือเอาข้อตกลงในหนังสือสัญญาที่ให้แจ้งวันนัดโอนให้โจทก์ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน 7 วัน เป็นสาระสำคัญ ปรากฏว่าในวันที่ 29 ธันวาคม 2538 ซึ่งเป็นวันนัดโอน โจทก์ไม่ไปรับโอนห้องชุดพิพาท จึงฟังได้ว่าโจทก์ตกเป็นผู้ผิดสัญญา จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิริบมัดจำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: พฤติการณ์เพียงพอรับฟังความผิด
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ลงจากรถไปคนเดียวและเข้าไปคุยกับสายลับในบ้านเป็นเวลานานพอสมควร แล้วเดินออกมาเอาห่อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 ที่นั่งรออยู่ในรถ จากนั้นเดินเข้าไปหาสายลับในบ้านเพียงคนเดียวโดยจำเลยอื่นมิได้เข้าไปด้วย เช่นนี้ก็เพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยอื่นกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าตนไม่รู้ว่าภายในห่อเป็นเมทแอมเฟตามีนหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำร้ายแม่ยายด้วยไฟฟ้า แม้แรงดันต่ำ ศาลไม่รอการลงโทษ เหตุจำเลยขาดสำนึกผิด
การที่จำเลยใช้กระแสไฟฟ้าทำอันตรายแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นแม่ยายของจำเลยและมีอายุถึง 56 ปี จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจแม้จะเป็นกระแสไฟฟ้าเพียง 12 โวลต์ ก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง หลังเกิดเหตุจำเลยไม่ได้แสดงความรับผิดชอบหรือรู้สำนึกในการกระทำความผิดด้วยการดูแลรักษาพยาบาลหรือชดใช้ค่าเสียหายหรือขอขมาต่อผู้เสียหายแต่ประการใดจนเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว จำเลยจึงได้นำบันทึกของผู้เสียหายที่ระบุว่าไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยมาแสดง การกระทำดังกล่าวของจำเลยมิได้ทำด้วยความรู้สำนึกในการกระทำความผิด แต่ทำเพื่อประโยชน์ในทางคดีของตนเท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 479/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยข้าวเปลือกแทนเงิน: หนี้ระงับสิ้นเมื่อชำระตามตกลง
จำเลยซื้อสังกะสีจากโจทก์จำนวน 5 หาบ ตกลงผ่อนชำระหนี้ด้วยข้าวเปลือกปีละ 100 ถัง เป็นเวลา 5 ปี โดยจำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินให้โจทก์และจำเลยได้ชำระหนี้ด้วยข้าวเปลือกให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว อันเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นตามที่ตกลงกันไว้ หนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคหนึ่ง
of 32