คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมศักดิ์ อเนกพุฒิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 80 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7499/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งดุลพินิจโทษหลังศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อยฐานความผิด
แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทความผิดและแก้โทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสอง แต่ก็เป็นการแก้ไขเพียงปรับวรรคของบทความผิดให้ถูกต้อง โดยมิได้แก้ฐานความผิด ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองเกินห้าปี ต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง ฎีกาของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5474/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม - ปัญหาข้อเท็จจริง & ยอมความก่อนฟ้อง - อำนาจฟ้องระงับ
จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องย้อนไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมได้มอบหมายให้จำเลยดำเนินการในลักษณะที่ส่งมอบการครอบครองเงินไปอยู่กับจำเลยหรือไม่ ฎีกาของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและยังคงให้ลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกินห้าปี ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ก่อนแจ้งความร้องทุกข์ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ จำเลยและโจทก์ร่วมได้ทำบันทึกข้อตกลงอันเป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ร่วมในความผิดฐานยักยอกทรัพย์จึงระงับไป โจทก์ร่วมไม่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์และพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน เมื่อมีการสอบสวนเพิ่มเติมโดยแจ้งข้อหาลักทรัพย์ จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาลักทรัพย์นั้นเป็นฎีกาที่มีเงื่อนไขว่าศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยก่อนว่าการกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาดังวินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัยเพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4829/2553 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลที่ไม่ไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ไม่อุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196
คำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องเพื่อประกอบการพิจารณาขอให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 เป็นเรื่องระหว่างศาลกับจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาหรือไม่ แต่การที่ศาลชั้นต้นไม่ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่พิจารณาโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 108 เพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปโดยไม่เกิดความเสียหายแก่คดีในระหว่างพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 2 จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 196

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4829/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลที่ไม่ไต่สวนคำร้องปล่อยชั่วคราว เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ห้ามอุทธรณ์
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราว และคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องเพื่อประกอบการขอให้ปล่อยชั่วคราว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวและยกคำร้องที่ขอให้ไต่สวน จำเลยที่ 2 อุทธรณ์เฉพาะคำสั่งที่ยกคำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องเพื่อประกอบการขอให้ปล่อยชั่วคราว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ฎีกา เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 2 เพื่อประกอบการพิจารณาขอให้ปล่อยชั่วคราวก็สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 2 ชั่วคราว ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 108 คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196 และการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้คืนถ้อยคำสำนวนพร้อมคำร้องอุทธรณ์คำสั่งแก่ศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการต่อไปก็มีผลเช่นเดียวกับการไม่รับวินิจฉัย และสั่งยกอุทธรณ์จำเลยที่ 2 คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3919/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนทรัพย์สินที่ริบตาม ป.อ. มาตรา 39 ต้องพิสูจน์เจ้าของกรรมสิทธิ์ขณะกระทำผิดมิได้รู้เห็นเป็นใจ
ตามบทบัญญัติแห่ง ป.อ. มาตรา 39 ในกรณีที่ศาลจะสั่งคืนทรัพย์สินที่ริบได้นั้นนอกจากความเป็นเจ้าของแล้วยังต้องได้ความว่าผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดและย่อมมีความหมายถึงเจ้าของทรัพย์สินในขณะที่มีการกระทำความผิดด้วย ทั้งการขอให้ศาลสั่งคืนของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา นอกจากผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบว่าผู้ร้องไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดแล้วผู้ร้องก็ยังมีหน้าที่นำสืบว่าเจ้าของทรัพย์สินไปขณะกระทำผิดไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ผู้ร้องมีตัวผู้ร้องและจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า ผู้ร้องให้จำเลยเช่ารถยนต์กระบะของกลางไป ผู้ร้องไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย โดยผู้ร้องมิได้นำสืบให้เห็นว่าบริษัท จ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์กระบะของกลางในขณะที่จำเลยกระทำความผิดรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ เมื่อผู้ร้องมิได้นำสืบดังกล่าวจึงฟังไม่ได้ว่าบริษัท จ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์กระบะของกลางในขณะกระทำความผิดไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย นอกจากนี้ผู้ร้องให้การในชั้นสอบสวนว่า ผู้ร้องไม่รู้ว่าจำเลยนำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้กระทำความผิดเพราะผู้ร้องไปค้าขายที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้จำเลยใช้รถยนต์กระบะของกลางบรรทุกยางพาราแตกต่างจากที่ผู้ร้องและจำเลยเบิกความว่าจำเลยเช่ารถยนต์กระบะของกลางจากผู้ร้องเป็นพิรุธไม่มีน้ำหนักรับฟัง จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3300/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยสิทธิครอบครองและการส่งมอบการครอบครองทำให้สิทธิครอบครองตกแก่ผู้ซื้อ
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บิดาโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้บิดาจำเลยไปแล้วและขณะมีการทำสัญญาซื้อขายนั้นที่ดินของบิดาโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครอง แม้สัญญาซื้อขายดังกล่าวจะไม่ได้ทำต่อเจ้าพนักงานที่ดินก็ตาม แต่บิดาโจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่บิดาจำเลยแล้ว สิทธิครอบครองจึงตกแก่บิดาจำเลย บิดาจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยสมบูรณ์ เมื่อบิดาจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมย่อมมีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นสิทธิครอบครองของจำเลย จำเลยจึงเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2664/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พ.ร.บ.ล้างมลทินมีผลย้อนหลังทำให้ไม่สามารถเพิ่มโทษจำเลยได้ แม้คดีถึงที่สุดก่อนบังคับใช้
พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปริมนทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษาฯ มาตรา 4 บัญญัติให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีมีความผิดต่างๆ ซึ่งได้กระทำก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2550 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ. นี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้นๆ ดังนั้น เมื่อความผิดที่โจทก์อาศัยเป็นเหตุที่ขอให้เพิ่มโทษ จำเลยที่ 3 ได้ต้องโทษและพ้นโทษไปแล้วก่อนวันที่ พ.ร.บ. ดังกล่าวใช้บังคับ อันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ 3 ย่อมได้รับประโยชน์ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษาฯ โดยมิต้องคำนึงว่าเป็นกรณีตาม ป.อ. มาตรา 3 หรือไม่ ทั้งปัญหาว่าเมื่อ พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษาฯ ใช้บังคับแล้วจะเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 ได้หรือไม่ เป็นปัญหาในชั้นบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวและไม่เป็นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2214/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขความผิดจากกรรมเดียวเป็นหลายกรรม และการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักบทเดียว ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกระทงความผิดไป เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1654/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบโทรศัพท์มือถือในคดีครอบครองยาเสพติด: ต้องพิสูจน์การใช้เพื่อกระทำความผิดโดยตรง
การที่โจทก์ขอให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางโดยอ้างว่าจำเลยใช้และมีไว้เพื่อใช้ในการติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีน แต่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความเพียงว่า จำเลยถูกจับและเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน 340 เม็ด ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้ายที่จำเลยสวมใส่ และพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ดังนั้น โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางจึงมิใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่นใดซึ่งจำเลยทั้งสองได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรง และไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยได้กระทำความผิดซึ่งหมายถึงความผิดตามฐานที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น จึงไม่อาจริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 102 และ ป.อ. มาตรา 33 ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด อันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตาม ป.อ. มาตรา 32 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1562/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอรับฟังว่าจำเลยเป็นผู้ลงมือยิงโจทก์ ศาลฎีกายกฟ้อง
เมื่อพยานบุคคลของโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความแตกต่างขัดกันเองเป็นพิรุธโดยโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน พฤติการณ์ของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจริงหรือไม่สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นจำคุก 6 เดือนเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และความผิดฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน การที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับความผิดฐานนี้ขึ้นมาแม้จะต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม ศาลฎีกาจึงมีอำนาจจะยกฟ้องในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวได้ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และ 225
of 8