พบผลลัพธ์ทั้งหมด 173 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9931/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสิทธิเรียกร้องค่างานรับเหมา: กรณีทำเพื่อกิจการของลูกหนี้
คดีนี้โจทก์และจำเลยต่างเป็นผู้ประกอบการค้ารับจ้างก่อสร้าง จำเลยรับจ้างก่อสร้างถนนและสะพานจากกรมทางหลวงแล้วจำเลยนำงานก่อสร้างสะพานไปว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอีกต่อหนึ่ง งานก่อสร้างสะพานเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของจำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างจากกรมทางหลวงอยู่ด้วย กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ผู้ประกอบการค้ารับจ้างก่อสร้างเรียกเอาค่างานที่ได้ทำให้แก่จำเลยเพื่อกิจการของจำเลย เข้าข้อยกเว้นไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้ายที่ว่า เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมมีกำหนด 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9467/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 กรณีประเด็นข้อพิพาทเดียวกันกับคดีที่ถึงที่สุดแล้ว
แม้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ก่อนคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือ ป. เป็นประเด็นข้อพิพาทประเด็นเดียวกัน คู่ความเดียวกัน เมื่อคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้นนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว กรณีต้องตกอยู่ภายใต้บังคับเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9157/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: การไม่สอบถามก่อนสั่งไม่รับฟ้องคดีปกครอง และผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เนื่องจากโจทก์มิได้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ การที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรมหรือไม่ โดยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องไว้เป็นคดีปกครองไม่อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม ก่อนมีคำสั่งไม่รับฟ้องศาลชั้นต้นจะต้องสอบถามโจทก์เสียก่อนว่า โจทก์เคยฟ้องคดีต่อศาลปกครองแล้วและศาลปกครองไม่รับฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครองมาก่อนหรือไม่ หากมีกรณีดังกล่าว ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 12 วรรคสอง กล่าวคือ ศาลชั้นต้นต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเพื่อพิจารณาวินิจฉัย หรือหากปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเป็นศาลแรก และศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลปกครองศาลชั้นต้นต้องแจ้งให้โจทก์ไปฟ้องคดีต่อศาลปกครองซึ่งเป็นศาลต่างระบบที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยระบุไว้ในคำสั่งไม่รับฟ้องเสียก่อนและศาลชั้นต้นต้องแนะนำโจทก์ให้แจ้งต่อศาลปกครองด้วยว่า เคยยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นแล้วและศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องเนื่องจากเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง หากโจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์เนื่องจากโจทก์จะต้องฟ้องคดีต่อศาลระบบอื่นที่มีอำนาจ หากศาลในคดีหลังเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลนั้นก็ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 12 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องทันทีโดยมิได้สอบถามโจทก์เสียก่อนว่า โจทก์เคยฟ้องคดีต่อศาลปกครองแล้วและศาลปกครองไม่รับฟ้องหรือไม่ หากโจทก์ยังไม่เคยฟ้องคดีต่อศาลปกครองศาลชั้นต้นต้องแจ้งให้โจทก์ไปฟ้องคดีต่อศาลปกครองโดยระบุไว้ในคำสั่งไม่รับฟ้องดังกล่าวด้วยว่า ให้โจทก์แจ้งต่อศาลปกครองว่าเคยยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นแล้วและศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องทันที โดยมิได้ดำเนินการดังกล่าว ครั้นเมื่อโจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ อันมีผลทำให้กระบวนพิจาณาต่างๆ ที่กระทำภายหลังจากนั้นไม่ชอบไปด้วย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยและเห็นสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องไว้เป็นคดีปกครองไม่อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม ก่อนมีคำสั่งไม่รับฟ้องศาลชั้นต้นจะต้องสอบถามโจทก์เสียก่อนว่า โจทก์เคยฟ้องคดีต่อศาลปกครองแล้วและศาลปกครองไม่รับฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครองมาก่อนหรือไม่ หากมีกรณีดังกล่าว ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 12 วรรคสอง กล่าวคือ ศาลชั้นต้นต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเพื่อพิจารณาวินิจฉัย หรือหากปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเป็นศาลแรก และศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลปกครองศาลชั้นต้นต้องแจ้งให้โจทก์ไปฟ้องคดีต่อศาลปกครองซึ่งเป็นศาลต่างระบบที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยระบุไว้ในคำสั่งไม่รับฟ้องเสียก่อนและศาลชั้นต้นต้องแนะนำโจทก์ให้แจ้งต่อศาลปกครองด้วยว่า เคยยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นแล้วและศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องเนื่องจากเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลปกครอง หากโจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์เนื่องจากโจทก์จะต้องฟ้องคดีต่อศาลระบบอื่นที่มีอำนาจ หากศาลในคดีหลังเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลนั้นก็ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 12 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องทันทีโดยมิได้สอบถามโจทก์เสียก่อนว่า โจทก์เคยฟ้องคดีต่อศาลปกครองแล้วและศาลปกครองไม่รับฟ้องหรือไม่ หากโจทก์ยังไม่เคยฟ้องคดีต่อศาลปกครองศาลชั้นต้นต้องแจ้งให้โจทก์ไปฟ้องคดีต่อศาลปกครองโดยระบุไว้ในคำสั่งไม่รับฟ้องดังกล่าวด้วยว่า ให้โจทก์แจ้งต่อศาลปกครองว่าเคยยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นแล้วและศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องทันที โดยมิได้ดำเนินการดังกล่าว ครั้นเมื่อโจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ อันมีผลทำให้กระบวนพิจาณาต่างๆ ที่กระทำภายหลังจากนั้นไม่ชอบไปด้วย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยและเห็นสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8779/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนสามัญมีสิทธิขออายัดทรัพย์สินเพื่อฟ้องเลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชีได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินที่จะฟ้องร้องให้บังคับให้มีการจดทะเบียนหรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตาม ป.ที่ดิน มาตรา 83 วรรคหนึ่ง ไม่จำต้องเป็นผู้มีสิทธิเสมือนหนึ่งผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 และไม่จำต้องมีส่วนได้เสียผูกพันกับที่ดินโดยตรงทั้งไม่จำต้องฟ้องร้องเอาที่ดินเป็นของตนเอง หรือฟ้องร้องให้ศาลบังคับให้ทำการจดทะเบียน หรือให้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนโดยตรง และคำพิพากษาก็ไม่จำต้องบังคับให้มีการจดทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนโดยตรง หากคำขอและผลของคำพิพากษานั้นบังคับให้กระทำการใดอันจะนำไปสู่การจดทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในที่ดินที่ขออายัดแล้ว ก็อยู่ในบังคับมาตรา 83 วรรคหนึ่ง
การฟ้องร้องขอให้เลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชี ผลของคำพิพากษาอาจทำให้ต้องมีการจดทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่ดินอันเป็นสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและคำพิพากษาผู้เป็นหุ้นส่วนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะขออายัดที่ดินของห้างหุ้นส่วนเพื่อไปฟ้องร้องขอให้เลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชีได้
โจทก์ทำสัญญาห้างหุ้นส่วนสามัญกับจำเลยที่ 1 และ ส. ภริยาของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ยินยอมให้ ส. ดูแลวางระบบและตรวจสอบบัญชีโดยไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้ โจทก์เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 นำที่ดินโรงเรียนไปขายให้แก่บุคคลภายนอกโดยระบุในหนังสือมอบอำนาจว่าจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วน และโจทก์เคยทำหนังสือให้ ส. ตรวจสอบบัญชีโรงเรียนโดยระบุว่า ส. เป็นหุ้นส่วนทั้ง ส. ก็ได้แจ้งความให้ดำเนินคดีแก่ครูคนหนึ่งในโรงเรียนที่มีหลักฐานว่าทุจริตในฐานะเป็นหุ้นส่วน จำเลยที่ 1 ย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่าตนเองเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งและมีสิทธิต่างๆ ในฐานะเป็นหุ้นส่วน แม้ว่าผลของคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องเลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชีจะพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนหรือไม่ก็ตาม การที่จำเลยที่ 1 ไปขออายัดที่ดินพิพาทอันเป็นสินทรัพย์ของหุ้นส่วนไว้ก่อนเพื่อไปฟ้องร้องให้เลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชี จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินทรัพย์ของหุ้นส่วนโดยสุจริตและมีเหตุสมควร ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 จงใจหรือประมาทเลินเล่อตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 จำเลยที่ 1 จึงมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์
การฟ้องร้องขอให้เลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชี ผลของคำพิพากษาอาจทำให้ต้องมีการจดทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่ดินอันเป็นสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและคำพิพากษาผู้เป็นหุ้นส่วนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะขออายัดที่ดินของห้างหุ้นส่วนเพื่อไปฟ้องร้องขอให้เลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชีได้
โจทก์ทำสัญญาห้างหุ้นส่วนสามัญกับจำเลยที่ 1 และ ส. ภริยาของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ยินยอมให้ ส. ดูแลวางระบบและตรวจสอบบัญชีโดยไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้ โจทก์เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 นำที่ดินโรงเรียนไปขายให้แก่บุคคลภายนอกโดยระบุในหนังสือมอบอำนาจว่าจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วน และโจทก์เคยทำหนังสือให้ ส. ตรวจสอบบัญชีโรงเรียนโดยระบุว่า ส. เป็นหุ้นส่วนทั้ง ส. ก็ได้แจ้งความให้ดำเนินคดีแก่ครูคนหนึ่งในโรงเรียนที่มีหลักฐานว่าทุจริตในฐานะเป็นหุ้นส่วน จำเลยที่ 1 ย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่าตนเองเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งและมีสิทธิต่างๆ ในฐานะเป็นหุ้นส่วน แม้ว่าผลของคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องเลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชีจะพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนหรือไม่ก็ตาม การที่จำเลยที่ 1 ไปขออายัดที่ดินพิพาทอันเป็นสินทรัพย์ของหุ้นส่วนไว้ก่อนเพื่อไปฟ้องร้องให้เลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชี จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินทรัพย์ของหุ้นส่วนโดยสุจริตและมีเหตุสมควร ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 จงใจหรือประมาทเลินเล่อตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 จำเลยที่ 1 จึงมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8779/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการอายัดที่ดินเพื่อฟ้องเลิกหุ้นส่วน-ชำระบัญชี: ผู้มีส่วนได้เสียต้องมีเหตุสมควรและสุจริต
ผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินอันอาจจะฟ้องร้องให้บังคับให้มีการจดทะเบียน หรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตาม ป.ที่ดิน มาตรา 83 วรรคหนึ่ง หมายถึงผู้ที่จะได้ประโยชน์ตามสิทธิใดๆ ของตนในที่ดินนั้น และอาจจะฟ้องร้องให้บังคับให้มีการจดทะเบียนหรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่ดินได้ตามสิทธิใดๆ ที่ตนมีอยู่และอาจจะเสียประโยชน์ในที่ดินหากมีการจดทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนอย่างหนึ่งอย่างใดในที่ดินนั้นก่อนที่จะไปฟ้องร้องให้บังคับให้มีการจดทะเบียน หรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามสิทธิของตน ผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิขออายัดที่ดินตาม ป.ที่ดินดังกล่าวจึงไม่จำต้องเป็นผู้มีสิทธิเสมือนหนึ่งผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 และไม่จำต้องมีส่วนได้เสียผูกพันกับที่ดินโดยตรง ทั้งไม่จำต้องฟ้องร้องเอาที่ดินเป็นของตนเองหรือฟ้องร้องให้ศาลบังคับให้ทำการจดทะเบียน หรือให้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนโดยตรง และคำพิพากษาก็ไม่จำต้องบังคับให้มีการจดทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนโดยตรงตามที่โจทก์ฎีกา หากคำขอและผลของคำพิพากษานั้นบังคับให้กระทำการใดอันจะนำไปสู่การจดทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในที่ดินที่ขออายัดแล้ว ก็ย่อมอยู่ในบังคับบทบัญญัติตามมาตรา 83 วรรคหนึ่ง แห่ง ป.ที่ดิน ที่ว่า "อันอาจจะฟ้องบังคับให้มีการจดทะเบียนหรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน" ในกรณีของห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องนำเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานมาลงหุ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1026 ส่วนกำไรก็ดีส่วนขาดทุนก็ดีของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนย่อมเป็นไปตามส่วนที่ลงหุ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1044 เมื่อหุ้นส่วนเลิกกันและมีการชำระบัญชีจะต้องนำสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนมาชำระหนี้ค้างชำระแก่บุคคลภายนอก ชดใช้เงินทดรองและค่าใช้จ่ายซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนได้ออกของตนไปเพื่อจัดการค้าของห้าง และคืนทุนทรัพย์ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนแต่ละคนได้ลงเป็นหุ้นถ้ายังมีทรัพย์สินอยู่อีกเท่าไรก็ให้เฉลี่ยแจกเป็นกำไรในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1062 ดังนั้น การฟ้องร้องขอให้เลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชี ผลของคำพิพากษาที่ให้เลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชีจึงอาจมีผลให้ต้องมีการจดทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่ดินอันเป็นสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและคำพิพากษานั้นเองผู้เป็นหุ้นส่วนจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะขออายัดที่ดินของห้างหุ้นส่วนเพื่อไปฟ้องร้องขอให้เลิกหุ้นส่วนและชำระบัญชีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7263/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครอง
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เมื่อจำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยย่อมมีความผิดฐานนี้แล้ว เมื่อจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอีกฐานหนึ่งด้วยเพราะความผิดทั้งสองฐานอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดต่างกัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมตาม ป.อ. มาตรา 91
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจำนวน 3 นัด ซึ่งใช้ยิงร่วมกันได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง จำเลยยื่นฎีกาโดยมีข้อเท็จจริงว่าอาวุธปืนของกลางเป็นของมารดาจำเลยและศาลชั้นต้นได้ไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้คืนอาวุธปืนของกลางแก่มารดาจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามฎีกาของจำเลยและจากการไต่สวนของศาลชั้นต้นว่าอาวุธปืนของกลางเป็นของมารดาจำเลยที่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน และศาลชั้นต้นคืนอาวุธปืนของกลางให้แล้ว ทั้งโจทก์ไม่ได้แก้ฎีกาหรือโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ต้องฟังว่าอาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและให้ใช้ตามกฎหมาย จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงจากการไต่สวนเป็นเช่นนี้เห็นได้ว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ไม่อาจฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำรับสารภาพของจำเลยได้ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังที่ศาลชั้นต้นไต่สวน จึงต้องลงโทษจำเลยตามความผิดที่จำเลยกระทำได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบ มาตรา 215 และมาตรา 225 เมื่อการกระทำของจำเลยไม่มีความร้ายแรงมากนักและปืนเป็นของมารดาจำเลยจึงกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ให้เหมาะสมและให้รอการลงโทษจำเลยไว้ตาม ป.อ. มาตรา 56
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจำนวน 3 นัด ซึ่งใช้ยิงร่วมกันได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง จำเลยยื่นฎีกาโดยมีข้อเท็จจริงว่าอาวุธปืนของกลางเป็นของมารดาจำเลยและศาลชั้นต้นได้ไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้คืนอาวุธปืนของกลางแก่มารดาจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามฎีกาของจำเลยและจากการไต่สวนของศาลชั้นต้นว่าอาวุธปืนของกลางเป็นของมารดาจำเลยที่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน และศาลชั้นต้นคืนอาวุธปืนของกลางให้แล้ว ทั้งโจทก์ไม่ได้แก้ฎีกาหรือโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ต้องฟังว่าอาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและให้ใช้ตามกฎหมาย จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงจากการไต่สวนเป็นเช่นนี้เห็นได้ว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ไม่อาจฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำรับสารภาพของจำเลยได้ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังที่ศาลชั้นต้นไต่สวน จึงต้องลงโทษจำเลยตามความผิดที่จำเลยกระทำได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบ มาตรา 215 และมาตรา 225 เมื่อการกระทำของจำเลยไม่มีความร้ายแรงมากนักและปืนเป็นของมารดาจำเลยจึงกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ให้เหมาะสมและให้รอการลงโทษจำเลยไว้ตาม ป.อ. มาตรา 56
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7263/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาวุธปืนของผู้อื่นที่มีใบอนุญาตแล้ว และความผิดฐานพาอาวุธปืน การจำกัดความรับผิดและโทษที่เหมาะสม
จำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยย่อมมีความผิดฐานนี้แล้ว เมื่อจำเลยพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตด้วย จำเลยก็ต้องมีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอีกฐานหนึ่งด้วยเพราะความผิดทั้งสองฐานอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดต่างกันซึ่งต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และกระสุนปืน 3 นัด อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตามกฎหมายใช้ยิงร่วมกันได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องโดยไม่สืบพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาจากฎีกาของจำเลยประกอบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ได้ความจากการไต่สวนแล้วว่า อาวุธปืนของกลางเป็นของมารดาจำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนอาวุธปืนของกลางให้แก่มารดาจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แก้ฎีกาหรือโต้แย้งให้เห็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงในชั้นนี้จึงต้องฟังตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ว่าอาวุธปืนของกลางเป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย การที่จำเลยมีไว้ในครอบครองจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม เท่านั้น และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากการไต่สวนเช่นนี้แล้วจึงฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยต่อไปอีกไม่ได้เพราะเห็นได้ชัดว่าคำให้การสารภาพของจำเลยไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงจึงต้องลงโทษจำเลยตามความผิดที่จำเลยได้กระทำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และกระสุนปืน 3 นัด อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตามกฎหมายใช้ยิงร่วมกันได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องโดยไม่สืบพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาจากฎีกาของจำเลยประกอบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ได้ความจากการไต่สวนแล้วว่า อาวุธปืนของกลางเป็นของมารดาจำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนอาวุธปืนของกลางให้แก่มารดาจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แก้ฎีกาหรือโต้แย้งให้เห็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงในชั้นนี้จึงต้องฟังตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ว่าอาวุธปืนของกลางเป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย การที่จำเลยมีไว้ในครอบครองจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม เท่านั้น และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากการไต่สวนเช่นนี้แล้วจึงฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยต่อไปอีกไม่ได้เพราะเห็นได้ชัดว่าคำให้การสารภาพของจำเลยไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงจึงต้องลงโทษจำเลยตามความผิดที่จำเลยได้กระทำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6517/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายอาญาหลังกระทำผิด ผลกระทบต่อโทษของจำเลยอายุต่างกัน และอำนาจแก้ไขคำพิพากษาของศาลฎีกา
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551 ให้ยกเลิกความในมาตรา 74, 75 และ 76 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ความใหม่แทน เมื่อปรากฏว่ากฎหมายที่แก้ไข ทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งกระทำความผิดในขณะอายุ 14 ปีเศษ ไม่ต้องรับโทษ ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งขณะกระทำความผิดอายุ 17 ปีเศษ กฎหมายบังคับให้ศาลต้องลดมาตราส่วนโทษลงให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง มิใช่อยู่ในดุลพินิจของศาลตามกฎหมายเดิม เป็นกรณีมีกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างจากกฎหมายที่ใช้ภายหลังกระทำความผิด และกฎหมายที่ใช้ภายหลังเป็นคุณกว่า ต้องใช้กฎหมายส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6517/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขโทษคดีเยาวชน: ผลกระทบจากกฎหมายใหม่ มาตรา 74-75 และการลดโทษตามอายุ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองแต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยทั้งสองไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรม ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เปลี่ยนโทษจำคุก และให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองในแต่ละฐานความผิดอีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษกับให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้ อันเป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อยและมิใช่กรณีพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองเกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 6
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551 มาตรา 6 และ 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 74, 75 และ 76 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยในมาตรา 74 และ 75 กฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่คงใช้ข้อความทำนองเดียวกันต่างกันแต่เพียงเกณฑ์อายุของจำเลย คดีนี้ขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ อยู่ในเกณฑ์อายุตามมาตรา 75 (เดิม) บัญญัติให้ศาลพิจารณาว่า สมควรลงโทษจำเลยหรือไม่ ส่วนมาตรา 74 (ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติว่า จำเลยไม่ต้องรับโทษจึงต้องใช้กฎหมายในส่วนนี้ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 มาใช้บังคับตาม ป.อ. มาตรา 3 ส่วนจำเลยที่ 2 อายุ 17 ปีเศษ อยู่ในเกณฑ์อายุมาตรา 76 (เดิม) และมาตรา 75 (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งกฎหมายที่แก้ไขใหม่กำหนดให้ศาลต้องลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง มิใช่ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลตามกฎหมายเดิม อันเป็นกรณีกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ซึ่งบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่เป็นคุณกว่ามาตรา 76 (เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 3
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551 มาตรา 6 และ 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 74, 75 และ 76 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยในมาตรา 74 และ 75 กฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่คงใช้ข้อความทำนองเดียวกันต่างกันแต่เพียงเกณฑ์อายุของจำเลย คดีนี้ขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ อยู่ในเกณฑ์อายุตามมาตรา 75 (เดิม) บัญญัติให้ศาลพิจารณาว่า สมควรลงโทษจำเลยหรือไม่ ส่วนมาตรา 74 (ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติว่า จำเลยไม่ต้องรับโทษจึงต้องใช้กฎหมายในส่วนนี้ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 มาใช้บังคับตาม ป.อ. มาตรา 3 ส่วนจำเลยที่ 2 อายุ 17 ปีเศษ อยู่ในเกณฑ์อายุมาตรา 76 (เดิม) และมาตรา 75 (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งกฎหมายที่แก้ไขใหม่กำหนดให้ศาลต้องลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง มิใช่ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลตามกฎหมายเดิม อันเป็นกรณีกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ซึ่งบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่เป็นคุณกว่ามาตรา 76 (เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6516/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าเนื่องจากชู้สาวและอำนาจปกครองบุตร การกำหนดค่าเลี้ยงดูและค่าทดแทน
แม้จำเลยที่ 1 จะไม่เคยพาจำเลยที่ 2 ออกงานสังคม หรือแนะนำให้บุคคลอื่นรู้จักในฐานะภริยาแต่การที่จำเลยทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างเปิดเผยอยู่ในบ้านซึ่งปลูกสร้างในแหล่งชุมชนด้วยกันในเวลากลางคืน ขับรถรับส่งเมื่อไปทำกิจธุระหรือซื้ออาหารด้วยกัน ย่อมบ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและเอื้ออาทรดูแลเอาใจใส่ต่อกัน แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยกย่องจำเลยที่ 2 ฉันภริยาอันเป็นเหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (1) แล้ว และโจทก์ยังมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2 ที่แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคหนึ่ง ได้อีกด้วย