พบผลลัพธ์ทั้งหมด 727 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงคำรับรองว่าจะชำระหนี้แทนแล้วไม่ชำระ ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง หากไม่มีเจตนาทุจริตตั้งแต่แรก
องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341ต้องประกอบด้วยผู้หลอกลวงมีเจตนาทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและผลการหลอกลวงนั้นทำให้ผู้หลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยให้คำรับรองต่อโจทก์ต่อหน้าพนักงานสอบสวนว่าจะชำระหนี้แทนนาง ส. และขอให้โจทก์ถอนคำร้องทุกข์เป็นคำมั่นสัญญาที่จำเลยจะปฏิบัติในอนาคต คำรับรองดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อความเท็จ เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีความตั้งใจมาแต่แรกขณะให้คำรับรองว่าจะไม่ปฏิบัติตามนั้น ฟ้องโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกง-โกงเจ้าหนี้: การหลอกลวงเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้และโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้
จำเลยกับพวกได้หลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้ได้ไปซึ่งหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งเป็นของจำเลย และจำเลยนำมามอบให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้เป็นประกันตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวซึ่งโจทก์ร่วมได้ชำระราคาค่าที่ดินให้จำเลยไปครบถ้วนแล้ว โดยจำเลยหลอกลวงว่าจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปเป็นประกันที่ศาลโจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยไปความจริงจำเลยไม่ได้มีคดีที่ศาลและมิได้มีเจตนาจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปเป็นหลักประกันที่ศาล แต่เมื่อได้ความว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ยังเป็นของจำเลยเอง จึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ร่วม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
โจทก์บรรยายฟ้องสรุปได้ใจความว่า จำเลยมีเจตนาที่จะมิให้โจทก์ร่วมได้รับการจดทะเบียนรับโอนสิทธิในที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งโจทก์ร่วมจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลจากจำเลยตามสัญญาดังกล่าวจำเลยกับพวกได้จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินนี้ให้แก่ ช. โดยเสน่หาแล้วจำเลยกับพวก ช. ได้ร่วมกันจดทะเบียนโอนขายสิทธิในที่ดินนี้แก่ว. ดังนี้ ย่อมแปลความได้ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าหากจำเลยไม่โอนสิทธิในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมตามสัญญา โจทก์ร่วมจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้ ฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องสรุปได้ใจความว่า จำเลยมีเจตนาที่จะมิให้โจทก์ร่วมได้รับการจดทะเบียนรับโอนสิทธิในที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งโจทก์ร่วมจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลจากจำเลยตามสัญญาดังกล่าวจำเลยกับพวกได้จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินนี้ให้แก่ ช. โดยเสน่หาแล้วจำเลยกับพวก ช. ได้ร่วมกันจดทะเบียนโอนขายสิทธิในที่ดินนี้แก่ว. ดังนี้ ย่อมแปลความได้ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าหากจำเลยไม่โอนสิทธิในที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมตามสัญญา โจทก์ร่วมจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้ ฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 352/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องฉ้อโกงไม่สมบูรณ์เมื่อไม่ระบุทรัพย์สินที่ได้ไปจากผู้เสียหาย หรือการถอนทำลายเอกสารสิทธิ
ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ปรากฏชัดว่า จากการหลอกลวงของจำเลยจำเลยได้ทรัพย์สินอะไรไปจากผู้เสียหาย หรือทำให้ผู้เสียหายต้องถอน ทำลายเอกสารสิทธิ อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่ต้องบรรยายมาในฟ้องพอสมควรที่ทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 352/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง: การได้ทรัพย์สิน หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิ
ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ปรากฏชัดว่า จากการหลอกลวงของจำเลยนั้น จำเลยได้ทรัพย์สินไปจากผู้เสียหายหรือทำให้ผู้เสียหายต้องถอนทำลายเอกสารสิทธิอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่ต้องบรรยายมาในฟ้องพอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมฉ้อโกง ชดใช้เงินแล้วลดโทษได้
โจทก์ร่วมยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) และแม้การออกเช็คอันเป็นมูลที่โจทก์ร่วมนำมาฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวกับการใช้โฉนดที่ดินปลอมอันเป็นมูลที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยที่ 2ในคดีนี้ จะเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อฉ้อโกงโจทก์ร่วมเช่นเดียวกันแต่คดีดังกล่าวโจทก์ร่วมขอถอนฟ้องและศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตไปแล้วถือไม่ได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) และการที่โจทก์ร่วมถอนฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ไม่มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้ระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ใช้เอกสารปลอมหลอกลวงกู้เงิน – ฟ้องซ้ำ – ถอนฟ้อง – ลดโทษ
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันนำโฉนดที่ดินที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นโฉนดที่ดินปลอมไปใช้หลอกลวงโจทก์ร่วมเพื่อให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อยอมให้กู้เงินตามที่จำเลยทั้งสามต้องการ เป็นการร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266 และฉ้อโกงโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 266 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โจทก์ร่วมฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2เป็นคดีนี้ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้แล้วฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) และแม้การออกเช็คอันเป็นมูลที่โจทก์ร่วมนำมาฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวกับการใช้โฉนดที่ดินปลอมอันเป็นมูลที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยที่ 2ในคดีนี้ จะเป็นการกร ะทำโดยมีเจตนาเพื่อฉ้อโกงโจทก์ร่วมเช่นเดียวกันแต่คดีดังกล่าวโจทก์ร่วมขอถอนฟ้องและศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตไปแล้ว ถือไม่ได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) และการที่โจทก์ร่วมถอนฟ้องคดีดังกล่าวซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ไม่มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโก์ในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3986/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงต่างกรรม: การหลอกลวงต่อเนื่องสร้างความเสียหายแยกส่วน
จำเลยกับพวกใช้หลักฐานปลอมหลอกลวงโจทก์ร่วม โดยอ้างว่า ว.ขอเอาประกันชีวิตต่อบริษัทโจทก์ร่วม ซึ่งความจริง ว. ตัวจริงได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงออกกรมธรรม์ประกันชีวิตอันเป็นเอกสารสิทธิให้ การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงเสร็จเด็ดขาดกรรมหนึ่งแล้ว ต่อมาจำเลยกับพวกได้สร้างสถานการณ์ว่าว. ผู้เอาประกันได้รับอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย เพื่อหลอกลวงโจทก์ร่วม จนโจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงจ่ายเงินตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ให้กับพวกของจำเลย แม้การกระทำครั้งหลังนี้จำเลยได้นำเอาผลของการกระทำครั้งก่อนมาเป็นส่วนประกอบ แต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาจะทำให้ผลของการหลอกลวงทั้งสองครั้งเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมแต่ละส่วนกัน การกระทำของจำเลยครั้งหลังนี้จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงต่างกรรมกับการกระทำครั้งแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3149/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการฉ้อโกง: การพิจารณาจากคำบรรยายฟ้องและพฤติการณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อโจทก์ โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป แม้ฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุคำว่า "โดยทุจริต" ไว้ก็ตาม แต่คำว่า "บังอาจ" กับข้อความที่ว่า "โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป" ประกอบกันก็บ่งอยู่แล้วว่าจำเลยกระทำโดยทุจริต ฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3149/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง: การแสดงข้อความเท็จและเจตนาทุจริต
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อโจทก์ โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป แม้ฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุคำว่า "โดยทุจริต" ไว้ก็ตาม แต่คำว่า"บังอาจ" กับข้อความที่ว่า "โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป" ประกอบกันก็บ่งอยู่แล้วว่าจำเลยกระทำโดยทุจริต ฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนคดีฉ้อโกง: วิธีการสอบปากคำผู้เสียหายจำนวนมาก และการพิจารณาโทษจำเลย
แม้วิธีการสอบปากคำผู้เสียหายคดีนี้ พนักงานสอบสวนจะกระทำแตกต่างกับการสอบปากคำในคดีอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป เพราะผู้เสียหายคดีนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ผู้เสียหายต่างให้การถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นทำนองเดียวกัน พนักงานสอบสวนจึงทำแบบพิมพ์ในส่วนที่เหมือนกันไว้เว้นช่องว่างในส่วนที่เกี่ยวกับชื่อของผู้เสียหาย จำนวนเงิน และวันเวลา ซึ่งเป็นส่วนรายละเอียดของผู้เสียหายแต่ละคนโดยเฉพาะไว้ เพื่อกรอกรายละเอียดในตอนสอบปากคำผู้เสียหายแต่ละคน เช่นนี้ ก็หามีผลทำให้การสอบสวนเสียไปไม่ ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายมาให้ถ้อยคำหลายรายและพนักงานสอบสวนแจกแบบพิมพ์คำให้การดังกล่าวให้แต่ละคนไปอ่านดูก่อนแล้วเรียกเข้ามากรอกข้อความทีละคน พนักงานสอบสวนก็ยืนยันว่าได้สอบถามผู้เสียหาย ผู้ให้ถ้อยคำว่า มีอะไรผิดบ้างถ้าไม่ผิดก็ให้ลงชื่อ ถ้าผิดพลาดก็ขีดฆ่าแก้ไขและลงลายมือชื่อกำกับ เช่นนี้ ก็ไม่ปรากฏว่าคำให้การของผู้เสียหายไม่ตรงกับปากคำที่ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนหรือปากคำนั้นผู้เสียหายไม่ได้ให้การด้วยความสมัครใจ หรือด้วยเหตุอันมิชอบอย่างอื่นอันจะถือว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย